ตลาดอสังหาฯไตรมาส 3 ทรุดหนัก มูลค่าติดลบสูงถึง 35% ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง และคาดว่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอสังหาฯโดยส่วนใหญ่มีตัวเลขที่ติดลบ
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในไตรมาส 3 มีมูลค่าตลาดติดลบถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทำให้กำลังซื้อลดลง รวมไปถึงมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือมาตรการคุม LTV และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้น จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกระทบทั้งในเรื่องของการส่งออก และการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดได้ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมการจดจำนอง รวมถึงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ที่จะช่วยทำให้เกิดความต้องการซื้อใหม่ในตลาด และกำลังซื้อต่างประเทศจากฮ่องกงที่เริ่มเข้ามาหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเกือบๆ 2 เดือนที่เหลือจึงต้องเร่งทั้งในเรื่องของการขายและการโอนให้ได้มากที่สุด และปรับองค์กรภายในเพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวที่เกิดขึ้น
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ได้เริ่มทยอยประกาศกันในช่วงนี้ คาดว่าโดยส่วนใหญ่ตัวเลขผลการดำเนินการจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งแต่ละบริษัทจะเหนื่อยหนักกับความพยายามที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในส่วนของ บริษัท พฤกษา มียอดขายในไตรมาส 3 จำนวน 14,113 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีรายได้ 8,517 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 9.5% โดยมีกำไรอยู่ที่ 916 ล้านบาท แต่ผลประกอบการรวม 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดขาย 37,480 ล้านบาท ลดลง 3.7% มีรายได้ 28,179 ล้านบาท ลดลง 6.8% และมีกำไร 3,534 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดว่า ผลการดำเนินการทั้งปีคงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่จะทำให้ได้ใกล้เคียงที่สุด
โดยในไตรมาสสุดท้าย บริษัทได้ร่วมกับธนาคารพันธมิตรในการช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกค้ากู้ผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมปรับแผนกลยุทธ์เปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท โดยเลือกเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ยังมียอดขายที่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 16,092 ล้านบาท โดยเชื่อว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา จะช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้าย และการปรับตัวของบริษัทจะให้ก้าวผ่านพ้นปีนี้ไปได้ด้วยดี