ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน

‘มโนธรรมรักษา’ผนึกทุนจีน ปักธงภูเก็ตผุดมิกซ์ยูสหมื่นล้านหาดในทอน

มโนธรรมรักษาเป็นอีกกลุ่มตระกูลที่คร่ำหวอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 30 ปี โดยมีทนงศักด์ มโนธรรมรักษา เป็นหัวเรือใหญ่ แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนบิ๊กเนมทั้งหลาย แต่ก็เชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะพื้นที่ในแบบ Low Profile มาตั้งแต่ปี 2534 ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโฮมแฟคทอรี่ ย่านสมุทรปราการ อาคารพาณิชย์ เซ้ง 30 ปี ย่านพระราม 3 ซึ่งเป็นทำเล Flagship ของกลุ่มมโนธรรมรักษา ก่อนที่จะขยับขยายการลงทุนไปทั้งในย่านพระราม 3 และพื้นที่ใกล้เคียง จนถึงในปี 2553 ตั้งบริษัท รักษาแลนด์(สาทร-พระราม 3) พัฒนาโครงการ เจ.เอส.พี.เรสซิเดนท์(สาทร-พระราม 3) โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท

ปี 2556 รักษาแลนด์เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในปี 2557 พัฒนาโครงการในแบรนด์ เจ อีกมากมายหลายโครงการ รวมถึงโครงการสำเพ็ง 2 ย่านกัลปพฤกษ์ ที่หลายคนรู้จักกันดี แต่สุดท้ายในปี 2561 มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นกลุ่มมโนธรรมรักษาโดยนายทนงศักด์ ได้แยกตัวออกจากเจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้อย่างเจ็บปวด และสุดท้ายเจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ภายใต้ผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ก็ถูกบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เทกโอเวอร์ เปลี่ยนชื่อเป็นเสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้

อย่างไรก็ตาม กลุ่มมโนธรรมรักษาก็ยังโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรแบบเงียบๆ พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่รุ่น 2 ที่แยกย้ายไปทำอสังหาฯคนละแบบคนละสไตล์ แต่ก็มีฐานที่มั่นที่นายทนงศักด์ได้วางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์, บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท และล่าสุด บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น ซึ่งพัฒนาโครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน มิกซ์ยูสมูลค่ากว่าหมื่นล้านบริเวณหาดในทอน จังหวัดภูเก็ต โดยมีนายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแล และมีนายรังสรรค์ หวังไพฑูรย์ มือขวาของนายทนงศักดิ์ที่เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาต่างๆ ในการพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตในฐานะกรรมการบริหาร บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น

วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด
วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา

ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน มีเนื้อที่กว่า 80 ไร่ เป็นที่ดินที่นายทนงศักดิ์ซื้อและเช่าบางส่วนมาเมื่อหลายปีก่อนจนกลายเป็นที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการแปลงใหญ่สุดบนหาดในทอนวางเป้าหมายให้เป็นแลนด์มาร์คของหาดในทอนและจะเป็นอีกหนึ่ง Destination ของภูเก็ตเมื่อโครงการพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์ โดยทีมบริหารคาดหวังให้เป็น มินิ ลากูน่า ภูเก็ตในอนาคต

“ที่ดินโครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน ทางคุณพ่อ (นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา) ได้เห็นถึงศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงได้เข้ามาซื้อที่ดินย่านหาดในทอน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งที่ดินที่ซื้อเองและเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี จนถึงปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ทั้งนี้เพื่อเก็บเป็น Asset Property ของครอบครัว ถือว่าเป็นแลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอน และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 โดยปัจจุบันราคาที่ดินย่านในทอนบริเวณพื้นที่เชิงเขามีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 15-30 ล้านบาทต่อไร่ สำหรับที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 25-50 ล้านบาทต่อไร่” นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด กล่าว

หาดในทอน ทำเลดาวรุ่งอสังหาฯภูเก็ต
นายวีระวิทย์ กล่าวอีกว่า หาดในทอนถูกจับตามองว่าจะกลายเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ที่สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการปล่อยเช่าหรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีจุดเด่นคืออยู่ใกล้สนามบินภูเก็ตมาก โดยใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณไม่เกิน 15 นาที ถือเป็นข้อได้เปรียบด้านทำเลที่สำคัญ ขณะที่ชายหาดยังมีความเป็นธรรมชาติสูงเพราะอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติสิรีนาถ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน จึงทำให้มีโครงการระดับลักชัวรี่ จนถึง อัลตร้าลักชัวรี่ เกิดขึ้นในหลายโครงการทั้งโรงแรม 5 ดาวอย่าง พูลแมน ภูเก็ต อาเคเดีย หาดในทอน หรือโครงการวิลล่าอย่าง Malaiwana, Trisara เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่ากลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการหรือพักอาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้ามีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี่เปิดขายในระดับราคากว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ปัจจุบันอุปทานเหล่านี้ถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต ทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มของคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป

ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน

อีกหนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันที่สูงมากนัก โดยพบว่าปัจจุบันมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 2 โครงการ 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ส่วนบ้านพักตากอากาศพบว่า ปัจจุบันมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาดทำให้ตลาดในพื้นที่นี้มีความน่าสนใจในด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว

สำหรับลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซีย และยังมีนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย จีน และอินเดียที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือที่อยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ Leasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี) เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายอาจซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว

โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านในทอนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่เงียบสงบและมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต

ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน
โครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน

โครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน ได้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2562 แต่เปิดตัวได้ไม่ถึง 3 เดือนก็เผชิญวิกฤต โควิด-19 ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุด แต่ทีมบริหารก็สามารถ แก้ไขสถานการณ์และวางไทม์ไลน์ในการพัฒนาโครงการได้ดี แม้ในช่วงโควิดภูเก็ตจะเงียบเหงามาก แต่พอเปิดประเทศภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกที่เริ่ม Sandbox ในช่วงโควิด ตลาดวิลล่ากลับมาบูมมาก เพราะคนต้องการพื้นที่ปลอดภัย และหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตก็พุ่งขึ้นสูงมาก โครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอนก็ได้รับอานิสงส์ทำให้สามารถสร้างยอดขายได้ดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสซีย และการได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการขายอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต

“การขายอสังหาฯในภูเก็ตนั้นต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดขายผ่านเอเยนต์มากถึง 70% โดยหลักการทำงานเอเยนต์ในภูเก็ตจะไม่สนใจในแบรนด์เล็กหรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่องของการพัฒนาโครงการได้จริง สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจ และบริษัทก็ประสบความสำเร็จในเรื่องดังกล่าว มีลูกค้าเข้าซื้อและใช้บริการโครงการอย่างต่อเนื่อง” นายวีระวิทย์กล่าว

ผนึกทุนจีนลงผุดมิกซ์ยูสมูลค่าหมื่นล้าน
สำหรับโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 คือ อาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น บริเวณด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆละ 7-8 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรมซีไซด์ ในทอน รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืนเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปลายปี 2567 อัตราการเข้าพักเกือบเต็ม 100%

บีสตาร์ท เฮฟเว่น กลุ่มมโนธรรมรักษาผนึกทุนจีน Bestart International Holdings
มโนธรรมรักษาผนึกทุนจีน Bestart International Holdings

นอกจากนี้ ในปี 2562 ต่อเนื่องถึงปี 2563 บริษัทได้นำที่ดินประมาณ 12 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯจีน Bestart International Holdings มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท เน้นในรูปแบบของการขายเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี โดยเฟสแรก มีจำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้น ขนาด 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 4-9 ล้านบาทขึ้นไป (ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นเป็นเริ่มต้นที่ 5-6 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต) ปัจจุบันปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเฟส 2 เปิดการขายเมื่อปี 2566 เป็นคอนโดฯสูง 5 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 5-10 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป (ปัจจุบันปรับขึ้นไปที่เริ่มต้น 170,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 72%

“เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน บริษัทจึงได้ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ Wyndham เข้ามาบริหารใช้ชื่อโครงการว่า วินแดม การ์เด้น ในทอน (Wyndham Garden Naithon) โดยการันตีผลตอบแทนการลงทุนที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไปก็จะแบ่งผลประกอบการจากการปล่อยเช่าห้องพัก ในสัดส่วน 40:60 โดยลูกค้าที่เป็นเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซั่นได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซั่น ได้ 20 วัน/ปี ซึ่งลูกค้าที่ซื้อและมาเช่าพักส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย ที่มากันเป็นครอบครัว และมีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่าได้ในเรท 70,000 บาท/เดือน สำหรับคอนโดฯในเฟสที่ 2 จะเริ่มทยอยโอนได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้” นายวีระวิทย์กล่าว

ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน
วินแดม การ์เด้น ในทอน

ล่าสุดได้นำที่ดินอีก 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ อีก 2 อาคาร ภายใต้แบรนด์ “Seaheaven” เฟส 3 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีนเช่นเดิม แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยเฟสแรกเป็นคอนโดฯ สูง 7ชั้น จำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 30-60 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 4-8 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 108 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 69% ส่วนเฟสที่ 2 จะพัฒนาเป็นคอนโดฯอีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต ราคา 5-9 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2566 ได้ขยายฐานการพัฒนาเอง 100% ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เมอริส จำกัด ด้วยการนำที่ดิน 3 ไร่เศษ มาพัฒนาวิลล่า แบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” ขนาด 70-160 ตารางวา ราคาขาย 32-72 ล้านบาท จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย,โปแลนด์ และมีคนไทยซื้อเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น

นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน บีสตาร์ท เฮฟเว่น ได้พัฒนาโครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน รวมแล้ว 3 เฟส และโครงการภูวิสต้า วิลล่า ในนามบริษัท เมอริส อีก 1 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ใช้ที่ดินไปราว 25% จากที่ดินทั้งหมด 80 ไร่ โดยในปี 2567 มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านบาท เป็นกำไรที่ 40.5 ล้านบาท และในปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 160 ล้านบาท กำไรที่ 65 ล้านบาท จากโรงแรมที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ สามารถจ่ายยิลด์ให้กับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ และยังมีแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย วิลล่า รวมถึง โครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ เพื่อความเป็นโครงการมิกซ์ยูสอย่างสมบูรณ์แบบทั้งการร่วมทุนกับพันธมิตรและการพัฒนาเอง

“แผนในระยะเวลา 2 ปีนี้ (2568-2569) มีแผนจะพัฒนาโครงการเองโดยไม่ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร จำนวน 2 โครงการ โดยในปี 2568 นี้จะเป็นการพัฒนาโครงการ “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างจากสนามบินภูเก็ต เพียง 5 นาที ในรูปแบบของวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 60-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ และปี 2569 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส บนแลนด์แบงก์ย่านหาดในทอน จากทั้งหมด 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท” นายวีระวิทย์ กล่าว

ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน
คอนโดมิเนียม ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน เฟส 3

วางคอนเซ็ปต์ มินิลากูน่า ดึงดูดนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
ขณะที่นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 7 ไร่เมื่อปีที่แล้ว เพิ่มเติมจากที่ดินในส่วนที่เหลือ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่จะเกิดขึ้น ตามแผนที่วางไว้จะพัฒนาทั้งพูล วิลล่า, คอนโดมิเนียม, โรงแรม, คอมมูนิตี้ มอลล์, เอ็กซ์ตรีม คลับ, เพลย์กราวด์ แอคทิวิตี้ และเวลเนส เพื่อให้โครงการเป็น Mixed-Use ที่สมบูรณ์ โดยใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อมีการพัฒนาเต็มพื้นที่ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอนจะมีมูลค่าโครงการรวมเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาทแน่นอน และสามารถพูดได้เต็มปากว่าเราน่าจะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในหาดในทอน

นอกจากนี้ จากการที่คุณทนงศักด์เคยเข้ามาพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตเมื่อ 15 ปีที่แล้วแต่เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในเมืองประมาณ 100 ยูนิต ได้ซื้อที่ดินสะสมไว้หลายแปลง นอกจากที่ดินที่ตั้งโครงการบนหาดในทอน ยังมีแปลงอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับโครงการนี้ และห่างออกไปอยู่ที่หาดไม้ขาว และพังงาบางส่วนที่จะนำมาพัฒนาโครงการในอนาคต

“อีกธุรกิจที่น่าสนใจ คือธุรกิจโรงแรม เพราะเป็นธุรกิจที่มีแข็งแรงในภูเก็ต และสามารถให้ ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งคุณทนงศักดิ์และคุณวีระวิทย์ สนใจที่จะดำเนินการพัฒนาโรงแรมด้วยตนเอง” นายรังสรรค์กล่าว และมองว่า “ศักยภาพของโครงการซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอนที่อยู่ใกล้กับสนามบิน จึงสามารถเป็นจุดดร็อปออฟให้กับนักท่องเที่ยวที่ลงเครื่องหรือจะมาพักก่อนจะขึ้นเครื่องบิน จะเป็นสถานที่ที่ให้นักท่องเที่ยวมาใช้จ่ายเงินให้หมดก่อนเดินทางกลับ เพราะถ้าจะให้ไปใช้ในเงินที่อื่นอาจจะมีปัญหาในเรื่องการเดินทางมาขึ้นเครื่องได้และลูกค้าส่วนใหญ่ในจะเป็นลูกค้าระดับลักชัวรี่ ทำให้โครงการมีจุดแข็งที่แตกต่างจากโครงการที่เป็นแมสโปรดักต์ที่อยู่ทางโซนกลางและใต้ของภูเก็ต

รังสรรค์ หวังไพฑูรย์
รังสรรค์ หวังไพฑูรย์

ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติจะรู้จักลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ลูกค้าต่างชาติจะนึกถึง เสมือเป็นย่านทองหล่อของภูเก็ต ตั้งอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน มีที่ดินที่สวยงาม มีทะเลสาบ มีอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงสนามกอล์ฟ มีทุกอย่างที่พร้อมรองรับลูกค้าต่างชาติ โครงการของเรามีพื้นที่ที่เล็กกว่า แต่อยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อถึงกันได้ ถ้าจะทำให้โครงการของเราเป็นมินิคอนเซ็ปต์ของลากูน่าก็น่าจะทำได้ เพราะอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน มีความครบถ้วน ที่สามารถรองรับทั้งชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยได้ต้องการจะเข้ามาลงทุนได้เราจึงตั้งเป้าหมายหมายที่จะเป็น มินิ ลากูน่า สำหรับลูกค้าต่างชาติในอนาคต”

การลงหลักปักฐานในภูเก็ตของกลุ่มมโนธรรมรักษา และพันธมิตรกับการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสระดับหมื่นล้านบาท ถือเป็นบทพิสูจน์ฝีไม้ลายมือของพี่ใหญ่ในรุ่นที่ 2 ที่ต้องติดตามความสำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้กันต่อไป