fbpx
สันติบุรี

สิงห์ เอสเตท ไม่ปลื้ม บ้านหรู 245 ล้าน ยอดขายไม่ปัง

ดูเหมือนว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะไม่ใช่เป้าหมายการเติบโตของสิงห์ เอสเตทในห้วงเวลานี้ ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจทำให้สิงห์ต้องเตะเบรกชะลอการลงทุน

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ก็ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดที่ชะลอตัวทำให้ สิงห์ เอสเตท ต้องเลื่อนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีที่ซอยรางน้ำ(ที่คาดว่าจะเป็นแบรนด์ใหม่ชื่อว่า Estro) ออกไปเปิดในปีหน้าจากแผนเดิมที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ ทำให้ในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ไม่มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่เลยแม้แต่โครงการเดียว

“ส่วนแผนการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในปีหน้า ขณะนี้ก็กำลังดูที่ดินอยู่ 2-3 แปลง แต่ก็ยังไม่ถูกใจ ประกอบกับภาวะตลาดยังไม่ค่อยดีก็เลยยังไม่ตัดสินใจซื้อ” นายนริศกล่าว

ขณะเดียวกัน โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ที่เปิดตัวได้อย่างครึกโครม และเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์เมื่อปีที่แล้ว เพราะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับอัลตรา ลักชัวรี ที่มีราคาขายเริ่มต้นที่ 245 ล้านบาท ยอดขายก็ยังไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ โดยนายนริศ กล่าวว่า โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส มียอดขายอยู่ประมาณ 10% ยังไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังตัดสินใจอยู่ ถ้าซื้อยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นมาก 

ซีอีโอ สิงห์ เอสเตท ยืนยันว่า คงจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรกับโครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส เพราะเป็นธรรมชาติของโครงการราคาแพงที่การขายจะไม่เร็ว ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ 

บ้านเดี่ยว 245 ล้านบาท สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส

สำหรับโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับอัลตรา ลักชัวรี บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม เนืื้อที่ 45 ไร่เศษ  ประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว 25 แปลง ราคาเริ่มต้น 245 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กำลังจะเริ่มก่อสร้าง 3 แปลงแรกที่มีลูกค้าซื้อขายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและเริ่มลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนามสิงห์ เอสเตทมาเป็นเวลา 5 ปีเต็ม นายนริศ บอกว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้จากทั้ง 3 ขาธุรกิจ ถึงแม้ว่า เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย จะยังไม่สดใสนักก็ตาม 

ในส่วนของรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย (Residential Development) แม้ว่าตลาดจะชะลอตัว ในปีนี้รายได้ก็ยังเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพียงแต่ในอนาคตรายได้จากการขายบ้านจะลดลงไปในบางช่วงซึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์  โดยขณะนี้มียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX โดยใน 6 เดือนแรกมียอดโอนแล้ว 2,200 ล้านบาท และยังมี Backlog จากโครงการของบริษัท เนอวานา อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท 

The ESSE อโศก

แต่ที่โดดเด่นจริงๆ คือ 2 ขาธุรกิจที่เหลือของสิงห์ เอสเตท นั่นก็คือ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก (Commercial & Retail) และธุรกิจโรงแรม (Hospitality)

“กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคงของรายได้ คือ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก โดยเฉพาะโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้รับการตอบรับจากผู้เช่าเกินความคาดหมายด้วยอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 92% บริษัทจึงมีแผนการพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดีรังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท  ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้ สำหรับแผนงานระยะยาวบริษัทคาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562-2566) 

เอส โอเอสซิส

ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการเติบโตของบริษัทในปีนี้ได้มีการเปิดตัวโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย ท่าเรือยอร์ชมารีนาพร้อมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง พร้อมทั้งเปิดตัวโรงแรมชั้นนำถึง 2 แห่ง ได้แก่ SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมา โดยคาดว่า CROSSROADS จะสร้างรายได้ในปีหน้าได้ถึง 3,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในปลายปีนี้ สิงห์ เอสเตท มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือที่พัฒนาและบริหารธุรกิจโรงแรม คือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมมุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company) 

นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวว่า ปัจจุบัน เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท มีโรงแรมอยู่ 39 แห่ง จำนวน 4,647 ห้อง ใน 5 ประเทศ ซึ่งภายในปี 2568 บริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก อย่างน้อยอีกเท่าตัวเป็น 80 โรงแรม  ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจ 4 แบบ คือ 1) โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2)โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3) โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม 4) โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง

CROSSROADS มัลดีฟส์

ขณะที่นายนริศ ทิ้งท้ายว่า ในปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว ส่วนปีหน้าจะเป็นของการขยายการลงทุนต่อ โดยได้ตั้งงบลงทุนไว้กว่า 10,000 ล้านบาท จะเป็นการซื้อกิจการอาคารสำนักงานในเขตซีบีดี โรงแรมซึ่งน่าจะเป็นในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายขยายลงทุนไปในแถบเมดิเตอเรเนียน ยุโรปใต้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ส่วนแลนด์แบงก์สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะซื้อเพิ่มอีก 2-3 แปลง

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *