ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลงทำให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ต้องปรับแผนการดำเนินการในครึ่งปีหลังใหม่ เช่นเดียวกับบริษัทอื่น นั่นก็คือ ลดการเปิดคอนโดมิเนียมลง 4 โครงการ จากแผนเดิมจะเปิด 12 เหลือ 8 และหันรุกตลาดบ้านแนวราบเจาะเรียลดีมานด์อย่างเต็มสูบ พร้อมกับตั้งเป้าอย่างท้าทายใน 3 ปี แสนสิริจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ยอดขายคอนโดชะลอตัวลงจากช่วงที่เปิดโครงการใหม่จะขายได้ 30-40% เหลือไม่ถึง 30% ไม่คุ้มกับงบการตลาดที่ลงไปในช่วงเปิดตัว จึงปรับแผนใหม่เน้นการขายที่ยาวขึ้น โครงการที่จะเปิดใหม่อีก 6 โครงการ มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีหลังเป็นคอนโดในกลุ่มกลาง-ล่างปรับรูปแบบและราคาให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด
“ตลาดคอนโดได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลตัวลง ทำให้ในครึ่งปีหลังบริษัทจะเน้นการเฝ้าระวัง ปรับลดโครงการลง เปิดตัวใหม่เฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพ สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน”
สำหรับตลาดบ้านแนวราบจะเป็นเกมหลักของแสนสิริในช่วงครึ่งปีหลังและใน 3 ปีข้างหน้า โดยจะเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท เปิดแนวรบในทุกเซ็กเมนต์ของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ พร้อมทั้งเสริมทัพผู้บริหารในกลุ่มบ้านแนวราบให้แข็งแกร่งและขับเคลื่อนแสนสิริไปสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำตลาดบ้านแนวราบภายใน 3 ปี
ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการของแสนสิริ มองว่า บ้านแนวราบยังมีช่องว่างในการขยายตลาดในทุกเซ็กเมนต์ ขณะที่ยอดขาย 7 เดือนแรกของบริษัทก็มาจากโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยจะมีการพัฒนาโปรดักต์และบริการ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น สำหรับ 10 โครงการบ้านแนวราบที่จะเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย
- โครงการไทเกอร์ เลน (Tiger Lane) มูลค่า 500 ล้านบาท
- โครงการคณาสิริ ราชพฤกษ์ 346 มูลค่า 1,100 ล้านบาท
- โครงการสราญสิริ ศรีวารี มูลค่า 1,300 ล้านบาท
- โครงการอณาสิริ บางใหญ่ มูลค่า 1,800 ล้านบาท
- โครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ ปิ่นเกล้า 2 มูลค่า 3,300 ล้านบาท
- โครงการบุราสิริ พระราม 2 มูลค่า 1,500 ล้านบาท
- รวมถึงทาวน์เฮาส์แบรนด์ สิริเพลส 4 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ในทำเล เพชรเกษม ราชพฤกษ์ตัดใหม่ และบางใหญ่อีก 2 โครงการ
นอกจากการปรับกลยุทธ์บ้านแนวราบจะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับแสนสิริแล้ว ยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ดีกว่าคอนโด ในรายงานประจำปี 2561 ของแสนสิริ ระบุว่า แสนสิริได้ลดความเสี่ยงจากการมีสินค้าคงเหลือด้วยการบริหารสินค้าคงเหลือให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จะเน้นการพัฒนาโครงการเป็นรายเฟส เพื่อช่วยให้การบริหารงานก่อสร้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในกรณีที่ยอดขายไม่เป็นไปตามประมาณการ แสนสิริ สามารถปรับแผนงานการก่อสร้างได้อย่างทันท่วงที หรือในกรณีที่พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แสนสิริจะสามารถปรับรูปแบบบ้านให้เหมาะกับวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปได้ หรือในกรณีที่ความสามารถในการซื้อของกลุ่มลูกค้าลดลง แสนสิริจะสามารถปรับลดขนาดบ้านให้มีราคาขายต่อหน่วยเหมาะสมกับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
การปรับแผนหันมารุกตลาดบ้านแนวราบของแสนสิริ จึงเป็นทั้งการรุกและกลยุทธ์ตั้งรับกับภาวะผันผวนของตลาดในคราวเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการเป็นเบอร์ 1 ในตลาดบ้านเดี่ยว และเป็น Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ ภายใน 3 ปี คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แบบพลิกฝ่ามือ เมื่อถนนทุกสายต่างมุ่งสู่บ้านแนวราบ โดยเฉพาะในกลุ่มบิ๊กเนมก็มีจุดแข็งในตลาดบ้านแนวราบที่แตกต่างกันออกไป
ในตลาดบ้านเดี่ยว นายอุทัย ประเมินว่า ในภาพรวมทั้งหมด แสนสิริ น่าจะอยู่ในอันดับ 2 และมียอดขายที่ไม่ห่างจากอันดับหนึ่งมากนัก ขณะที่ ตลาดทาวน์เฮาส์ แสนสิริ อยู่ที่อันดับ 4-5
แต่ในกลุ่มนำของตลาดบ้านแนวราบนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นเบอร์ใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะ พฤกษา เรียลเอสเตท ที่ถูกประเมินว่า เป็นเบอร์ 1 ทั้งในตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์อยู่ในเวลานี้ ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรักษาบัลลังก์และขยายตลาด ซึ่งการได้นักการตลาดมืออาชีพอย่าง นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ มาเป็นแม่ทัพใหญ่และยกเครื่องพฤกษาใหม่หมดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ พฤกษา ดูแข็งแกร่งขึ้น และคงไม่ยอมให้ใครแซงหน้าไปได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ ในกลุ่มบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ แสนสิริ ยังต้องเจอกับ คู่แข่งอย่าง แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ยังมีฐานในตลาดที่แข็งแกร่ง รวมถึง เอพี (ไทยแลนด์) ที่กำลังร้อนแรง เอสซี แอสเสท และ โกลเด้น แลนด์ ที่ช่ำชองกับตลาดแนวราบไม่ด้อยไปกว่าแสนสิริ และ ศุภาลัย ที่เน้นสินค้าในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งแต่ละรายคงไม่ยอมให้แสนสิริ ผ่านไปได้ง่ายๆ และพร้อมจะต่อกรในทุกเซ็กเมนต์ที่แสนสิริลงแข่งด้วย
แสนสิริพร้อมสร้างความแตกต่าง เพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ภายใน 3 ปี ทั้งนี้กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจแนวราบมาจากการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ พร้อมสร้างความแข็งแกร่ง และจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน แตกต่างเหนือคู่แข่ง
เริ่มจากโครงการบุราสิริ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8-20 ล้านบาท ในเซ็กเมนต์เดียวกับแบรนด์เศรษฐสิริ บริษัทจะ Branding บุราสิริ ให้เป็น Brand ที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้เป็น บ้านบรรยากาศรีสอร์ท เพื่อการพักผ่อนที่แท้จริงของคนกรุง ล่าสุดมีการเปิดตัวแคมเปญสื่อสารการตลาดเพื่อยกระดับ และสร้างความชัดเจนให้กับแบรนด์บุราสิริมากขึ้น และจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ บุราสิริ พระราม 2 ในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกจากนี้ ยังได้นำแบรนด์บ้านเดี่ยว “สราญสิริ” มาทำใหม่ ลงในเซ็กเมนต์ 5-7 ล้านบาท โดยการออกแบบบ้านใหม่ด้วยดีไซน์พิเศษ Double Volume ซึ่งเป็น Luxury Space ที่ไม่สามารถหาได้ในบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์ระดับราคา 5-7 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวสราญสิริโครงการใหม่ “สราญสิริ ศรีวารี” ในช่วงเดือนตุลาคมนี้
รวมถึงการนำแนวคิดของ Garden Connect ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นบ้านแนวคิดใหม่ที่จะนำมาใส่ในแบรนด์เศรษฐสิริ และบุราสิริ โดยการสร้างพื้นที่พิเศษให้ความเป็นส่วนตัวเชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายนอกบ้านสู่ภายในบ้าน สามารถจัดสรรพื้นที่เป็นสระว่ายน้ำ หรือสวนขนาดใหญ่ได้ จะเริ่มนำร่องด้วยโครงการบุราสิริ วงแหวนอ่อนนุชในช่วงปลายปีนี้และเศรษฐสิริ ทวีวัฒนาในช่วงต้นปีหน้า
สำหรับ สิริเพลส ทาวน์เฮาส์สไตล์ Modern Loft ที่เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Young Gen โดยในปีนี้ แสนสิริจะนำเสนอทาวน์เฮาส์รูปแบบล่าสุดในสีสันและดีไซน์ที่สนุกสนาน โดยยังคงคอนเซ็ปต์ “Modern Loft” ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ พร้อมนำเสนอฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยที่มีห้องน้ำในตัว รวมถึงเพดานสูงใน Master Bedroom และห้องเอนกประสงค์ชั้นล่างที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบ ซึ่งจะเปิดตัว 4 โครงการใน 4 ทำเลใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ ยังนำเสนอบริการจากมืออาชีพตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อที่อยู่อาศัย การย้ายเข้าอยู่อาศัย และตลอดระยะเวลาในการอยู่อาศัย
“คาดว่าใน 3 ปี หรือในปี 2564 ยอดขายของทาวน์เฮาส์จะไปเตะ 10,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท รวมกัน 30,000 ล้านบาท ขณะที่เป้ายอดขายปีนี้อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท และมียอดโอนที่ 16,500 ล้านบาท” นายอุทัยกล่าว
ตลาดบ้านแนวราบคงจะลุกเป็นไฟ เมื่ออสังหาฯรายใหญ่หันหน้ามาฟาดฟันกันเพื่อช่วงชิงความเป็นเบอร์ 1 ในตลาด แชมป์จะเปลี่ยนมือหรือไม่และใครคือแชมป์ตัวจริงที่อยู่ในใจของผู้บริโภค เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์