เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ สำหรับการปรับกลยุทธ์รับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบไวรัสโควิด-19 จนกลายเป็น New Normal ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์โดยที่ไม่ต้องรอให้ตกผลึกว่า New Normal ที่ว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง อะไรใช่ อะไรน่าจะไม่ใช่ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นอะไรที่สามารถทำได้เลยและเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทั้งในวันนี้และในวันข้างหน้าก็ต้องรีบตัดสินใจและเริ่มขยับกันตั้งแต่วันที่สถานการณ์ยังไม่คลายตัว
เสนาฯชี้ work from home มาแน่
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ให้ความเห็นว่า พฤติกรรมที่จะกลายมาเป็น New Normal ได้ จะต้องสมประโยชน์ หรือ win win กันทั้ง 2 ฝ่าย อย่างเช่นเรื่องของการใส่หน้ากากคิดว่า หลังจากไวรัสโควิดผ่านไป คนคงจะไม่ใส่มันไปตลอด จึงไม่น่าจะเป็น New Normal ได้ ขณะที่เรื่องของการทำงานที่บ้าน หรือ work from home เป็นเรื่องที่ win win ทั้งพนักงานที่ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าเดินทางมาทำงาน ขณะที่บริษัทหรือองค์กรก็ประหยัดไฟ ประหยัดพื้นที่ทำงานไปได้ การ work from home จึงน่าจะเป็นหนึ่งใน New Normal ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ประกอบกับ วิกฤติครั้งนี้ เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นจากไวรัส สร้างผลกระทบกับสุขภาพคน ซึ่งเป็นวิกฤติที่แก้ได้ยาก เพราะเป็นวิกฤติที่เกิดจากธรรมชาติ ใช้เงินในการแก้ปัญหาไม่ได้ จึงไปคล้ายกับวิกฤติที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นวิกฤติที่เกิดจากธรรมชาติและส่งผลกระทบมาถึงคนเหมือนกัน
เรื่องของวิกฤติจากธรรมชาติ เคยผลักดันให้ เสนาฯ ริเริ่มธุรกิจโซลาร์เซลล์ ในครั้งที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 และกำลังต่อยอดมาถึงครั้งนี้เมื่อเห็นว่า ไวรัสโควิด-19 กำลังจะเปลี่ยนชีวิตคนให้ work from home มากขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือ อัตราความสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า และราคาค่าไฟที่สูงขึ้น
“เหตุการณ์ครั้งนี้ เหมือนภาพสะท้อนเมื่อปี 2554 ที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ สิ่งที่เรามองเห็นก็คือ ปัญหาและการหาทางป้องกัน จากจุดนี้เองได้กลายมาเป็นการเริ่มต้นที่สร้าง 3 สิ่งคือ สังคมคุณภาพ ธุรกิจคุณภาพ และโลกที่น่าอยู่กว่าเดิม ทำให้ปัจจุบันเสนาพัฒนาโครงการไม่ว่าจะเป็นแนวราบหรือแนวสูงก็ตาม จะติดตั้งโซลาร์ให้กับลูกบ้านทุกโครงการ เพื่อช่วยให้คนที่อยู่บ้านได้ประหยัดค่าไฟฟ้า และช่วยลดโลกร้อน” ดร.เกษรากล่าว
พลิกวิกฤติสู่โอกาสด้วยพลังโซลาร์
สำหรับในครั้งนี้ เมื่อการ work from home จะเป็น New Normal ที่อยู่อาศัยจึงอาจจะไม่ใช่แค่อยู่อาศัย เพราะจะกลายเป็นที่ทำงาน เป็นที่ออกกำลังกาย ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อต้องทำงานที่บ้านมากขึ้น ค่าไฟ และอัตราการสิ้นเปลืองไปจะเพิ่มขึ้นด้วย โซลาร์เซลล์จึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อมและ New Normal ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งผู้บริโภคจะเห็นประโยชน์ของการติดโซลาร์เซลล์มากขึ้น
สำหรับกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากค่าไฟที่เพิ่มมากขึ้นจากการ work from home ทั้งค่าไฟจากแอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ก็คือกลุ่มทาวน์โฮม หรือทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นคนทำงานในระดับกลาง บริษัทจึงนำร่องติดตั้งโซลาร์ขนาด 1 กิโลวัตต์ ในโครงการทาวน์โฮม ซึ่งโปรดักส์ใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ในปี 2563 คือ “ทาวน์โฮม” เพื่อเจาะคอนซูมเมอร์ระดับกลาง – ล่าง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับคนกลุ่มนี้ ภายใต้ชื่อ “เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6” เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคา 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งกำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการช่วงเดือนมิถุนายน 2563
ขณะเดียวกัน บริษัทกำลังศึกษาว่า มีอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม พฤติกรรมอะไรบ้างที่เปลี่ยนไป และอะไรที่ลูกค้าต้องการเพิ่ม โดยจะดูว่าเทรนด์ไหนที่เป็นไปได้และอยู่ในเซ็กเมนต์ไหน เพื่อปรับสินค้าให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องดูด้วยว่า อะไรจะชนะระหว่างกลไกตลาด ทำเล หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ น้ำท่วมในปี 2554 ซึ่งมองกันว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบ ในทำเลน้ำท่วม จะหายไป แต่วันนี้ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ
ในส่วนของการลงทุน บริษัทจะปรับแผนใหม่โดยเฉพาะการลงทุนคอนโดขนาดใหญ่ เหลือแค่คอนโดราคาต่ำกว่าล้านบาท และโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมถึงเป้ายอดขายและรายได้จะต้องปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน
แสนสิริ ชู 5 New Normal เปลี่ยนอสังหาฯ
ด้านนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 เปรียบเสมือนตัวเร่งปฏิกิริยาสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งภาคธุรกิจและภาคเอกชน แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะกลับส่สภาวะปกติจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี แต่บริษัทได้ลงมือแล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ สู่ “The New Normal for Sansiri Living” กับ 5 มิติแห่งอนาคต ประกอบด้วย
New Normal ด้านการดูแลโครงการและบริการ ยกระดับความเข้มงวดด้านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค รวมถึงตรวจวัดไข้ทั้งพนักงานและลูกบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
New Normal ด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เติมเต็มประสบการณ์แบบลดการสัมผัส (Touchless Journey) ความใส่ใจด้านความสะอาดและถูกสุขอนามัย
New Normal ด้าน Waste Management เพิ่มมาตรการจัดการขยะติดเชื้อจากหน้ากากอนามัยที่ปลอดภัย และวางระบบจัดการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จาก Food Delivery หรือ Online Shopping ที่สูงขึ้น
New Normal ด้านการออกแบบและพัฒนาโครงการ ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบลดการสัมผัส พร้อมผสานการ Work Anywhere, Anytime และทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อนอย่างลงตัว
New Normal ด้านความปลอดภัยในการอยู่อาศัย กับ LIV-24 บริการดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ดูแลความปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจตลอดการอยู่อาศัยของลูกบ้าน
นำร่องการพัฒนาอสังหาฯในบริบทใหม่
“บริษัทจะนำร่องในโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 ซึ่งจะต้นแบบในการรองรับวิถีชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในด้านการ Work Anywhere, Anytime, การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing), การใช้ชีวิตที่คำนึงถึงสุขอนามัยและความสะอาด ตลอดจนมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบลดการสัมผัส (Touchless Journey) ที่จะนำมาปรับใช้ในโครงการพร้อมอยู่ในปัจจุบันและอนาคต ” นายอภิชาติ กล่าว
ด้านนายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ ขยายความต่อว่า บริษัทได้นิยามที่อยู่อาศัยในแบบฉบับ ‘The New Normal for Sansiri Living’ และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร โดยเราคาดการณ์ว่า ต่อไปนี้หลายคนจะใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น และเชื่อมั่นว่า ‘Homes for your Peace of Mind’ ยกบ้านเป็นที่ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ยิ่งไปกว่านั้น บ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบจะไม่เป็นเพียงพื้นที่พักผ่อนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะยังช่วยส่งเสริม ‘Productivity’ และรองรับวิถีการทำงานแบบ Work Anywhere, Anytime
นอกจากนี้ เราจะพบกับนิยามใหม่ของแนวคิด Sharing Economy เพราะทุกการออกแบบพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน และคำนึงถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น Social Distancing ตลอดจนเสริมการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางก่อนลูกบ้านเข้าใช้บริการ ขณะเดียวกัน การอยู่อาศัยในคอมมูนิตี้ของแสนสิริมุ่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบ ‘Touchless’ ลดการสัมผัสและลดโอกาสการติดเชื้อ พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ‘Security and Safety’ เพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัย เมื่อลูกบ้านใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น
Touchless จากหน้าโครางการถึงห้องพัก
โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 จะนำร่องติดตั้งเทคโนโลยีสอดรับกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกบ้านที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพและความสะอาดมาเป็นอันดับหนึ่ง
เริ่มต้นจากทางเข้าโครงการ ด้วยการติดตั้งระบบ Visitor Management System (VMS) และระบบการลงทะเบียนด้วยการสแกนหลักฐานแสดงตนเพื่อเข้า-ออกโครงการ และบันทึกข้อมูลผู้มาติดต่อ,
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งประตูอัตโนมัติทางเข้าหลัก 5 จุด ลดการสัมผัส และคัดกรองที่จุดเชื่อมต่อจากภายนอกสู่ภายในอาคาร, ใช้ระบบฆ่าเชื้อ ด้วยเทคโนโลยี UV บนพัสดุ ก่อนส่งมอบให้ลูกบ้านผ่าน Smart Locker
รวมถึงการติดตั้งเครื่องปล่อยแอลกอฮอล์อัตโนมัติในพื้นที่ส่วนกลางและลิฟต์ รวมทั้งเครื่องปล่อยโฟมอัตโนมัติและเครื่องปล่อยน้ำยาฆ่าเชื้อ สำหรับการเช็ดฝารองนั่งสุขภัณฑ์ในห้องน้ำส่วนกลาง เป็นต้น
เรื่องของสุขภาพ ความสะอาด และการ work from home จะเข้ามาพลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทยไปมากน้อยขนาดไหนยังตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่าวันนี้หลายๆ ค่ายเริ่มขยับ และจะกลายเป็นจุดขายสำคัญในตลาดนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
อ่านประกอบ