คึกคักโครมครามกันมากทีเดียวกับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ หนึ่งในสมรภูมิแห่งความหวังของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ เพราะนอกจาก real demand ที่ยังพอมีอยู่ ยังได้กระแสของ new normal มาช่วย built ตลาดให้ยังพอเดินต่อไปได้ ขณะที่ความเสี่ยงในการพัฒนาในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ถึงขั้นต้องนั่งลุ้นกันตลอดเวลากว่าโครงการจะเสร็จเหมือนกับการพัฒนาคอนโดมิเนียม
ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ทำให้ตั้งแต่ต้นปีมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดตัวใหม่กันอย่างต่อเนื่อง และยิ่งพีคขึ้นไปอีกในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลายบริษัทได้ประกาศแผนเดินหน้าต่อกับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบกันอย่างเต็มสูบ โดยเฉพาะอสังหาฯระดับบิ๊กเนมที่วางเกมเดิมพันกันด้วยผลประกอบการในปีนี้กันเลยทีเดียว
มาดูตัวเลขกันสักนิดก็จะเห็นว่า บริษัทอสังหาฯรายใหญ่เอาจริงเอาจังกับตลาดบ้านแนวราบกันแค่ไหน โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานโครงการเปิดขายใหม่ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 พบว่า เป็นบ้านจัดสรร 97 โครงการ จำนวน 16,218 หน่วย ลดลงเล็กน้อยหรือประมาณ 6% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2562
ที่น่าสนใจก็คือในจำนวนโครงการบ้านจัดสรรที่เปิดใหม่เป็นของบริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสัดส่วนสูงถึง 70.9% ขณะที่บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯมีโครงการเปิดใหม่ในสัดส่วน 29.1% ซึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงนี้บริษัทรายกลาง-เล็กอาจจะไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะฝ่าคลื่นลมแรงจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ก็เลยขอเว้นวรรค และที่สำคัญธนาคารซึ่งเป็นฐานทุนสำคัญไม่ปล่อยกู้ให้ทุกอย่างก็เลยจบ
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาฯในตลาดที่เปิดโครงการมากสุดในรอบ 6 เดือนแรก ได้แก่
- บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) เปิด 17 โครงการ จำนวนรวม 2,498 หน่วย
- บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 4 โครงการ จำนวนรวม 1,135 หน่วย
- บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 4 โครงการ จำนวนรวม 1,014 หน่วย
- บริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิด 5 โครงการ จำนวน 939 หน่วย
- บริษัท ศุภาลัย เปิด 4 โครงการ จำนวน 745 หน่วย
- บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เปิด 3 โครงการ จำนวน 739 หน่วย
- บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิด 5 โครงการ จำนวน 683 หน่วย
- บริษัท แสนสิริ เปิด 2 โครงการ จำนวน 678 หน่วย
- บริษัท บริทาเนีย ในเครือออริจิ้น เปิด 2 โครงการ จำนวน 575 หน่วย
- บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง เปิด 1 โครงการ จำนวน 377 หน่วย
ในครึ่งปีหลังการแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะดุเดือนเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ที่มีโครงการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมากกว่าที่อยู่อาศัยประเภทอื่น หลายบริษัทเคลื่อนไหวเปิดโครงการใหม่ภายใต้แนวคิด new normal ที่ต้องรอการพิสูจน์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคกันอีกสักระยะ แต่ถึงกระนั้นมันคือจุดขายที่ ใครๆ ก็ต้องมี
“ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยวิเคราะห์จากดีมานด์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และจากเทรนด์อยู่อาศัยที่คนไทยต้องการมีบ้าน 2 หลัง ทั้งคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเมือง เพื่อการเดินทางทำงานที่สะดวก ขณะที่ยังมีความต้องการบ้านชานเมืองเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ยังรวมถึงการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในรูปแบบ new normal ที่ทำให้ดีมานด์ของบ้านแนวราบเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดต่างชาติจะกลับมา โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะมองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัยและมีระบบสาธารณสุขที่ดี บริษัทจึงมุ่งเจาะกลุ่มตลาดต่างชาติที่ต้องการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ในรูปแบบบ้านหรือทาวน์โฮมอย่างเต็มที่ ” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ ได้ประเมินทิศทางตลาดบ้านแนวราบเอาไว้ก่อนหน้านี้
ไฮไลท์สำคัญในครึ่งปีหลังสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบก็คงหนีไม่พ้นการโรมรันกันของบริษัทรายใหญ่ จากการแข่งกันเปิดโครงการใหม่ปั๊มยอดขายทดแทนคอนโดมิเนียมที่ดร็อปลงไป อาทิเช่น
- เอพี ไทยแลนด์ ที่เปิดบ้านแนวราบโครงการใหม่มากสุดในครึ่งปีหลังมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และยังลุยตลาดภูมิภาคด้วยแบรนด์ใหม่ อภิทาวน์ รวมแล้ว 26 โครงการ 2.6 หมื่นล้านบาท
- แสนสิริ วางหมากให้โครงการบ้านแนวราบเป็น Strategic Flagship ในการรุกตลาดครึ่งปีหลัง โดยจะเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม รวมมูลค่า 1.17 หมื่นล้านบาท
- ศุภาลัย จะเปิดโครงการบ้านแนวราบครึ่งปีหลังอีก 16 โครงการ หลังจากเปิดไปแล้ว 9 โครงการในครึ่งปีแรก ล่าสุดได้เปิดโครงการ ศุภาลัย ไพร์ด วงแหวน – ลำลูกกา คลอง 6 รองรับไลฟ์สไตล์ new normal ไปเมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
- แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ลุยเปิดขาย 2 โครงการใหม่ทั้งในกทม. และต่างจังหวัด ได้แก่ โกลเด้น ทาวน์ ๒ บางแค ในอาณาจักรโกลเด้น เอ็มไพร์ บางแค และโกลเด้น ทาวน์ เชียงใหม่-กาดรวมโชค
- ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ขยายการพัฒนาโครงการโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ด้วยการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ไลโอ บลิสซ์ วงแหวน-ปิ่นเกล้า (พระราม5) และ ไลโอ บลิสซ์ รัตนาธิเบศร์-บางใหญ่ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ด้วยฟังก์ชันบ้านรับ New Normal ภายใต้แนวคิด ‘Smart Living-Flexible’
- เอสซี แอสเสท มีแผนเปิดโครงการบ้านแนวราบในครึ่งปีหลัง 7 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ล่าสุดได้เปิดโครงการใหม่ เวนิว โฟลว์ ติวานนท์ รังสิตไปเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา
- เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งในกทม.และพัทยา รวมมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท โดยจะหันไปเน้นการพัฒนาโครงการในรูปแบบบ้านสั่งสร้างมากขึ้น
การแข่งขันในตลาดบ้านแนวราบในครึ่งปีหลังจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหญ่ชะลอการลงทุนคอนโดเบนเข็มเข้ามาเปิดโครงการมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้นจากการแข่งขันของผู้ประกอบการ” นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง ให้ความเห็น
ขณะที่นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ มองว่า ตลาดบ้านแนวราบยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ขยายตัวออกไปนอกเมืองจึงเป็นโอกาสของตลาดบ้านแนวราบ แม้ว่าจะมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่การแข่งขันจะกระจายตัวออกไป และไม่ใช่ใครจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยประสบการณ์ และความชำนาญในตลาด
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า สงครามในตลาดบ้านแนวราบสุดท้ายจะได้บทสรุปเช่นไรในบั่นปลาย แต่ก็คงไม่ใช่งานง่ายเท่าไรนักกับสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่นนี้ บอกได้คำเดียวว่างานนี้ ใครดีใครอยู่