fbpx
02

อัลติจูด ชูกลยุทธ์ร่วมค้า-ร่วมทุน รับมืออสังหาฯทรุด

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทเล็กๆ ที่เติบโตมาจากการหาช่องว่างในตลาด nich และการร่วมค้า-ร่วมทุน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง จนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนามูลค่ารวม 5,870 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดลการร่วมค้า และร่วมทุน ทั้งกับธุรกิจในประเทศหรือพันธมิตรจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มครีท กรุ๊ปจากญี่ปุ่น บริษัทในเครือบิวตี้ เจมส์ ทีคิวเอ็ม และบริษัทในเครือออโรร่า เป็นต้น

ยิ่งการทำธุรกิจในวันนี้จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ 2 ผู้บริหารหนุ่ม ชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เชื่อมั่นว่า โมเดลการร่วมค้า และการร่วมทุน จะช่วยให้ อัลติจูด และผู้ร่วมค้า หรือผู้ร่วมทุน วิน วิน กันทั้ง 2 ฝ่าย

ชยพล อธิบายว่า ในปี 2563 บริษัทจะยังเน้นย้ำกลยุทธ์การเติบโตด้วยธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ (Turnkey Asset Development) เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโครงการร่วมทุนและร่วมค้า เพื่อเป็นการแก้เกมเศรษฐกิจช่วงขาลง ทำให้บริษัทใช้เงินลงทุนหรือมีภาระหนี้ในการพัฒนาโครงการน้อยลง

โดยร่วมมือกับผู้มีที่ดินเปล่าหรืออาคาร ที่ปัจจุบันไม่ก่อเกิดรายได้ หรือทำรายได้น้อยไม่คุ้มกับมูลค่าปัจจุบัน และยังไม่ต้องการลงทุนเพิ่ม หรือสร้างภาระหนี้ผูกพันใดๆ รวมถึงผู้ที่มีเงินทุนสะสมจากการดำเนินธุรกิจ และมองหาโอกาสทางธุรกิจอื่นที่ให้ผลตอบแทนได้ไม่น้อยกว่าธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายฐานธุรกิจ หรือบริหารทุนสะสมที่มีอยู่จำนวนมาก ในการร่วมพัฒนาโครงการ

“หลายคนอาจคิดว่าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีคงไม่มีใครอยากร่วมทุน แต่สำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินก็คงอยากจะหาการลงทุนใหม่ๆ หรือเจ้าของที่ดินที่ต้องการการลงทุนหรือขายที่ดินในขณะนี้อาจจะมีความเสี่ยง การร่วมค้า หรือร่วมทุนกับบริษัทที่มีทีมงาน และมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหลายๆ ธุรกิจ ก็เป็นทางออกหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ ก็มีคนที่สนใจเข้ามาเจรจาอยู่จำนวนหนึ่ง”

สำหรับในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยจะเปิดตัวทาวน์โฮม ระดับราคา 2.59-3.99 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ลูกของอัลติจูด ในย่านบางนา อยู่หลัว เมกะ บางนา เนื้อที่ 39 ไร่ จำนวนกว่า 400 ยูนิต

โครงการดังกล่าวจะเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของบริษัท หลังประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจากการขายคอนโดระดับราคา 2.5-4.5 ล้านบาท กับโครงการยูนิคอร์น ภายใต้คอนเซปต์ ‘Personalized Development’ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ ซึ่งมีทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ส่วนอีกโครงการเป็น บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ย่านอุดมสุข เนื้อที่ 5 ไร่ ขายในราคา 24-38 ล้านบาท

ทั้ง 2 โครงการ มีแผนเปิดตัวโครงการในไตรมาส 3-4 รวมมูลค่า 1,855 ล้านบาท ส่งผลให้อัลติจูด มีสินค้าครอบคลุมตลาดในทุกเซกเมนต์ โดยตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้จากเงินโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจรับบริหารจัดการพัฒนาโครงการ ปีนี้บริษัทได้เริ่มเจรจาหาคู่ค้าที่ต้องการจะให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาโครงการแบบครบวงจรในโครงการของคู่ค้า ทั้งในรูปแบบมิกซ์ยูสที่ต่อยอดโครงการพักอาศัยติดโครงการเชิงพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ หรือนายหน้าที่มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติพร้อมซื้อ หรือต้องการว่าจ้างให้ บริษัทพัฒนาโครงการให้ ซึ่งโมเดลบริหารจัดการพัฒนาโครงการของบริษัทมีที่ดินแล้วเสร็จ 2 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 1 โครงการ

“แม้ว่าตลาดจะชลอตัวลง แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังมีอยู่มาก จากการเประเมินตัวเลขการโอนที่อยู่อาศัยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 4 แสนล้านบาท ยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และปีนี้ถือเป็นโอกาสของลูกค้าที่มีความต้องการแท้จริงในการซื้อที่อยู่อาศัย ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง บวกกับทางบริษัทฯ ได้จัดโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ออกมากระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าที่ได้ซื้อสินค้าที่คุ้มค่ายิ่งกว่า

ขณะที่มีความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่เป็นพนักงานประจำที่มีเงินเดือนมั่นคงยังไม่ได้รับผลกระทบมาก และกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จจากการประกอบธุรกิจยุคใหม่ กลุ่มครอบครัว High-Network ครอบครัวกงสีที่มีสินทรัพย์สะสม ที่มีความต้องการซื้อจริง เช่น จำเป็นต้องซื้อที่อยู่ที่ใกล้สถาบันการศึกษาของบุตรหลาน ใกล้ที่ทำงาน การขยายครอบครัว และผู้ซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งยอดขายในปี 2562 ประมาณ 2,100 ล้านบาท และใน 2 เดือนแรกของปีนี้ 200 ล้านบาท ได้มาจากลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า 85% จากยอดขายทั้งหมด” ชยพลกล่าว

ขวัญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ทุกรูปแบบมีองค์ประกอบของความสำเร็จอยู่ 3 ด้าน อันได้แก่ 1) ที่ดิน 2) เงินทุน และ 3) ทีมงาน ซึ่งต้องยอมรับว่าประสบการณ์ทำงานของบริษัทที่ผ่านมา บริษัทมีโอกาสในการทำธุรกิจ ทั้งแบบพันธมิตรร่วมทุน ร่วมค้า ความเชี่ยวชาญของทีมงานตอบโจทย์พันธมิตรธุรกิจได้ทั้ง 3 กลุ่มเป้าหมาย อันได้แก่

1) เจ้าของที่ดิน (Landlord) ซึ่ง 80%ของเจ้าของที่ดินในทำเลดีๆ มีความต้องการจะพัฒนาเอง 2) กลุ่มทุน (Hi-Network) กลุ่มผู้มีกระแสเงินสดเหลือที่ต้องการบริหารพอร์ตลงทุน หรือกลุ่มทุนที่คาดหวังผลตอบแทนส่วนทุนมากกว่า 15% ต่อปี ซึ่งมีน้อยธุรกิจที่สามารถทำได้ ซึ่งกลุ่มนี้ประมาณ 50%ต้องการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอิ่น เพื่อกระจายความเสี่ยง และ3) ตัวแทนนายหน้า (Connector) ที่สามารถรวมผู้ซื้อมาเป็นกลุ่มได้ หรือตัวแทนนายหน้าจากต่างประเทศที่มาร่วมลงทุนพร้อมกับซื้อห้องในโครงการส่วนหนึ่งขึ้นมาด้วย

“ในกลุ่มของเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่อยากทำโครงการ อยากพัฒนาโครงการบนที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของที่อยู่แล้ว เมื่อเรานำเอาความเชี่ยวชาญ และทีมงานเข้าไปร่วมทำธุรกิจ การดำเนินโครงการจึงเกิดขึ้นไม่ยากในกลุ่มของเจ้าของที่ดิน เช่นเดียวกันกับเจ้าของทุน ซึ่งคือคนในกลุ่มไฮเนทเวิร์คที่มีเงินลงทุน และต้องการลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากว่าการพักเงินลงทุนในสินทรัพย์อื่น

ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่เห็นโอกาสธุรกิจอยู่แล้ว เช่น นายหน้าที่เห็นโอกาสการลงทุน ทั้งที่หาที่ดินมาขายให้ หรือมาร่วมทุนในลักษณะพันธมิตร เมื่อมาประกอบกับองค์ความรู้ที่อัลติจูดมีจะเห็นได้ว่าเราประสบความสำเร็จกับหลายโครงการเป็นอย่างดี ซึ่งประสบการณ์ทำงานมากับทั้ง 3 กลุ่ม นี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับอัลติจูดต่อไป” ขวัญชัยกล่าว

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *