fbpx
wuhan 2473809 1920

จับตาดีมานด์จีนดีดกลับ หาซื้อบ้านในไทยหลบภัยไวรัส

อสังหาฯไทยลุ้นดีมานด์จีนดีดกลับหลังโควิด-19 สิ้นฤทธิ์ แองเจิล เรียลเอสเตท ชี้ลูกค้าจีน-สิงคโปร์ วางแผนสำรองหาบ้านหลับภัยนอกประเทศ คาดครึ่งปีหลังตลาดมีโอกาสพลิกกลับมาดี

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่เข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในไทยว่า จากการที่ลูกค้าจากประเทศจีนชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 จากปัญหาเทรดวอร์ระหว่างจีนกับสหรัฐ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และมาตรการ LTV

ประกอบกับ ตลาดคอนโดในไทยราคาปรับตัวสูงขึ้นเกินจริง และมีซัพพลายเหลืออยู่จำนวนมาก ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนหรือลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และล่าสุด ได้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งทำให้ตลาดแย่หนักเข้าไปอีก และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัทประมาณ 50% มาจากจีน

เผยจีน-สิงค์โปรมองหาบ้านหลบภัย
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการระบาดของไวรัส โควิด-19 ในประเทศจีน และได้ลุกลามไปทั่วโลก ทำให้คนจีน หรือแม้แต่ไต้หวัน ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ เริ่มมองถึงแผนสำรอง หรือ Plan B โดยการหาซื้อบ้านหลังที่สองในต่างประเทศไว้สำหรับพักอาศัย กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติในประเทศ

ทั้งนี้ ไทยและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชาวจีนยังให้ความสนใจ เนื่องจากในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด ไทยเรายังเปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีนไม่ปิดกั้นเหมือนบางประเทศ ทำให้คนจีนยิ่งประทับใจในความเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับมา คนจีนหรือแม้แต่ชาวสิงคโปร์ เริ่มมองและต้องการมีบ้านหลังที่สองในไทย เพื่อรองรับครอบครัวของตนเองที่จะเข้ามาพักผ่อนในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ

นายลี ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยใน 6 เดือนแรกจะยังไม่ดี ซึ่งเกิดจากผลกระทบดังที่กล่าวไป แต่เชื่อว่า ใน 6 เดือนหลังถ้าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง มีสัญญาในเชิงบวกที่ลูกค้าจากจีนจะกลับเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอีกครั้ง โดยจะเป็นการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นเรียลดีมานด์ มีทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านแนวราบในลักษณะของการเช่าระยะยาว 30 ปี เพราะต้องการอยู่อาศัยในแบบครอบครัว

สำหรับบ้านที่ได้รับความสนใจ มีทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เช่นในพื้นที่กทม. ได้แก่ ย่านกรุงเทพกรีฑา บางนา ศาลายา ส่วนในต่างจังหวัด ได้แก่ ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ ส่วนคอนโดมิเนียม ยังคงอยู่ในทำเลที่เคยได้รับความสนใจอยู่ก่อนแล้ว เช่น คอนโด ตามแนวรถไฟฟ้า ย่านพระราม 9 สุขุมวิท เป็นต้น

ปรับกลยุทธ์รุกกลุ่มลูกค้าใหม่
“ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะเข้าไปขยายตลาด ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านในไทย ในรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อ หรือรายละเอียดทั้งหมดได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนหันมาทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น ( Thai Quota) หากราคาขายห้องชุดปรับลดลงมากกว่านี้ ก็จะเหมาะกับตลาดลูกค้ากลุ่มคนไทยได้” นายลี กล่าว

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์ในการหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทดแทนลูกค้าคนจีน ได้แก่ กลุ่มลูกค้าจากเมียนมา และกัมพูชาที่สนใจเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทย โดยชาวเมียนมาที่มีเงินต้องการจะส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทย และหาซื้อคอนโดให้ลูกอยู่ ปัจจุบันมียอดขายจากกลุ่มนี้ประมาณ 200-300 ยูนิต ส่วนลูกค้ากัมพูชา ต้องการเข้ามาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ปัจจุบัยมีลูกค้ากัมพูชาซื้อคอนโดในไทยแล้วประมาณ 50 ยูนิต

ขณะเดียวกัน ได้ขยายธุรกิจใหม่ เป็นนายหน้าเจรจากับเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย เนื่องจากโรงงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นบริษัทจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่มีโรงงานอยู่ในประเทศจีน จะเจออุปสรรคในเรื่องของเทรดวอร์ ขณะที่พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมในไทยยังมีจำนวนมาก เพียงพอรองรับการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศได้จำนวนมาก ปัจจุบันกำลังเจราจากับกลุ่มทุนรายใหญ่ที่จะเข้ามาตั้งโรงงานในไทยอยู่ 3 ราย นอกจากนี้ยัง มีการเจรจาซื้อโรงแรมขนาดเล็กมูลค่า 300-500 ล้านบาท อีก 2 แห่ง ที่รัชดาภิเษก และสุขุมวิท

นาย ลี กล่าวอีกว่า นอกจากการทำตลาดในไทยแล้ว บริษัทยังขายเพิ่มฐานลูกค้าในประเทศอื่นที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการ สร้างพอร์ตธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น มาเลเซีย บรูไน และประเทศตุรกี โดยแต่ละประเทศจะทำการตลาดที่แตกต่างกัน

ลุยตุรกี ซื้ออสังหาฯแถมพาสปอร์ต
สำหรับประเทศตุรกี บริษัทจะเน้นทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ เรื่อง ได้รับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ฟรี แก่ผู้เข้ามาลงทุนหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตุรกี โดยบริษัทจะเข้าไปทำตลาดกับลูกค้าในประเทศบรูไน พม่า ฮ่องกง และจีน ที่ต้องการได้สิทธิพลเมือง เพราะการเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐ จะได้ถือพาสปอร์ตเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งบริษัทฯได้เข้าเจาะกลุ่มดีมานด์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผลงานการขายแล้ว 30-40 ยูนิต

“เรามองว่า กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ต้องการได้พาสปอร์ตนั้น เป็นตลาดที่ใหญ่มาก อย่างที่ประเทศบรูไน คึกคักมาก คนจีนที่เกิดในประเทศบรูไน ไม่มีพาสปอร์ตประมาณ 14,000 คน ซึ่งเราจะมีลูกค้ารายแรกที่ได้รับหนังสือเดินทาง รวมถึงชาวมุสลิมในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เช่นเดียวกับนักธุรกิจในประเทศฮ่องกง หากเข้าไปลงทุนในประเทศอังกฤษ หากจะได้รับพาสปอร์ตจะต้องลงทุนประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงซึ่งจะได้รับวีซ่า แต่ถ้าถือพาสปอร์ตประเทศ ตุรกีไปอังกฤษ ใช้เงินเพียง 2 ล้านเหรียญฮ่องกงเท่านั้น”

เผยต้องระบายสต๊อกคอนโดอีก 2 ปี
สำหรับสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2563 คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เนื่องจากความต้องการ(ดีมานด์)ไม่มี ราคาขายคอนโดมิเนียมปรับสูงขึ้นมาก (Over Price) และอุปทาน (สต๊อก) ในตลาดยังมีปริมาณมาก (Over Stock) คาดว่ามีซัพพลายคงค้างในตลาดไม่ต่ำกว่า 200,000 หน่วย ใช้เวลาระบายออกประมาณ 2 ปี เนื่องจากสภาพตลาดและเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

สำหรับยอดขายคอนโดมิเนียมภายในประเทศไทยบริษัทได้ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 900-1,200 ยูนิต มูลค่าการขาย 4,000-5,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2-5 ล้านบาท มีโครงการทั้งในทำเลสุขุมวิท , พระราม9 และเส้นจรัญสนิทวงศ์ 70 เป็นต้น โดยบริษัทจะทำตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี อย่างไรก็ตาม หากกลยุทธ์ในการขยายตลาดในธุรกิจใหม่ๆ ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศ และรวมกับจากต่างประเทศ ก็คาดว่าในปีนี้ทั้งกลุ่มจะมียอดขาย 8,000-9,000 ล้านบาท

 

ขอบคุณภาพจาก zhlgh2002 จาก Pixabay

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *