กลุ่มทุนจีน-ฮ่องกง เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอีกครั้ง เมื่อล่าสุด ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ฮ่องกง เริ่มเปิดเกมรุกกับโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้เริ่มเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการมาสักระยะ แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะอยู่ในภาวะชะลอตัวก็ตาม
ทุนฮ่องกง ไฮไชน์ บุกอสังหาฯไทย
“แม้ว่าขณะนี้ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจะค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่มาก และยังเชื่อว่าจะไม่เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในตลาดประเทศไทย เนื่องจากเป็นความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่ความต้องการเก็งกำไร โดยบริษทได้ตั้งเป้าหมายการขายในปี 2562 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และคาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2563 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 4,500 ล้านบาท” นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวด้วยความมั่นใจ
สำหรับกลุ่มบริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการค้ามีบริษัทแม่อยู่ที่ฮ่องกง เน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟใต้ดิน ในเขตเมืองหลวงและย่านใจกลางเมืองของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ จีน มาเลเซีย และประเทศไทย โดยยังมองหาโอกาสที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ไฮไชน์ มีการลงทุนและพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ มูลค่าการลงทุนกว่า 22,500 ล้านบาท รวมทั้งหมด 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส, รีเกิล บางนา, รีเกิล ศรีนครินทร์ 40 และ รีเกิล สุขุมวิท 76 เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 126 ไร่ และพื้นที่ใช้สอยในอาคารกว่า 404,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯในปี 2563
ทั้ง 4 โครงการได้เริ่มก่อสร้างไปแล้ว และจะเริ่มเปิดขายภายในสิ้นปี 2562 ในส่วนของโครงการโครงการ รีเกิล สาทร-นราธิวาส และ รีเกิล บางนาได้ทำการเปิด Pre-Sale ไปแล้วผลการตอบรับค่อนข้างดี โดยมียอดขายที่ 40% และ 20% ตามลำดับ
ส่วนโครงการรีเกิล สุขุมวิท 76 เป็นโครงการมิกซ์ยูส มีอาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตร.ม ตั้งอยู่บนถนนสายหลักของรถไฟฟ้าระหว่างแบริ่งและสถานีสำโรง มูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท จำนวน 4,931 ยูนิต บนพื้นที่โครงการขนาด 18 ไร่ ได้เริ่มเปิดให้ชมโครงการและเปิดให้จองในราคาเริ่มต้นที่ 1.79 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในเดือนพฤศจิกายน บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 40 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ซึ่งบริษัทเชื่อว่าโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 จะเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอีกโครงการหนึ่ง ที่ตอบสนองความต้องการให้กับผู้ที่ต้องการอาศัยในพื้นที่ศรีนครินทร์
“แม้ว่าไฮไชน์จะเป็นบริษัทข้ามชาติ แต่ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เต็มรูปแบบจากหลายประเทศ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย ทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เราพร้อมมุ่งมั่นทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อความยั่งยืนในการพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาและสร้างที่พักอาศัยให้สะดวกสบายเพื่อให้เหมาะกับความเป็นอยู่ของคนไทย” นายเฉินกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัวทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญด้านการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งมีวิสัยทัศน์ในการวางกลยุทธ์ และให้คำแนะนำด้านการพัฒนาธุรกิจเป็นอย่างดี ซึ่งการเข้ามาเสริมศักยภาพทางธุรกิจครั้งนี้ จะส่งผลดีในการดำเนินธุรกิจให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต และหลังจากนี้ บริษัทเตรียมวางแผนที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2563 และอาจเริ่มจะโครงการทาวน์เฮ้าส์ในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯภายในปี 2563 เช่นกัน
JCK-คันทรี่ การ์เด้น โตก้าวกระโดด
ด้านนายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัท คันทรี่ การ์เด้น จากประเทศจีน เปิดเผยว่า โครงการอาร์ติซาน รัชดา ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 34 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 1,337 ยูนิต ในอาคาร Mixed Use ที่มีทั้งส่วน Commercial Area และ พื้นที่สำนักงานแบบ Freehold มูลค่ากว่า 6,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง JCK กับบริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ได้แก่ กลุ่มบริษัท คันทรี่ การ์เด้น ขณะนี้การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เกือบ 100% และมียอดขายแล้วเกือบ 90% ทั้งจากลูกค้าคนไทยและจีน
“คาดว่าจะปิดการขายได้ 100% ภายในสิ้นปี 2562 นี้ และจะเริ่มทยอยโอนให้กับลูกค้าในช่วงต้นปี 2563 ได้เลย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นไป และคาดว่าน่าจะโอนได้หมดภายในไตรมาส 3/63 ผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
ทั้งนี้ JCK เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยรายแรกที่ “คันทรี่ การ์เด้น กรุ๊ป” ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ในประเทศจีน มีโครงการในมือที่สร้าง และพัฒนามาแล้ว มากกว่า 8,000 โครงการ มีเครือข่ายในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ตัดสินใจเลือกให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และร่วมลงทุนในโครงการแรกที่สยายปีกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นถึงศักยภาพในการทำงาน, เชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพ, เชื่อมั่นในหลักธรรมาภิบาลของบริษัท
นอกจากนี้ นายอภิชัย ยังได้กล่าวถึงแผนการเดินหน้าขยายการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดนครพนม ว่า หลังจากได้เข้าทำสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ รวม 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,335 ไร่ เป็นระยะเวลา 50 ปี เพื่อสร้างโอกาสและรองรับการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหรือนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในระยะยาว
“เราเห็นศักยภาพการเติบโตของจังหวัดนครพนมในอนาคต ซึ่งมีพรมแดนเชื่อมต่อประเทศลาว เวียดนาม และจีน สามารถพัฒนาและยกระดับพื้นที่ดังกล่าวในฐานะศูนย์กลางการขนส่ง และโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมแปรรูปต่างๆ ที่สำคัญของประเทศ โดยรูปแบบจะเป็นไปในลักษณะของโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ ผู้ใช้บริการได้อย่างครบวงจร”
ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในสิทธิการเช่าดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสและรองรับการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ JCK ในระยะยาว