เอพี (ไทยแลนด์) เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมาได้ไกลมากจากจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น เริ่มต้นเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย backdoor listing กับบริษัท พื้นสำเร็จรูป พีซีเอ็ม จำกัด (มหาชน) โดยในปีแรกเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้มีรายได้ในฐานะบริษัทมหาชนเพียง 700 ล้านบาท
ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 23 ปี เอพีก้าวสู่เบอร์ 1 ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยยอดขายในปี 2565 จำนวน 50,415 ล้านบาท มีรายได้รวมสูงถึง 49,388 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิ 5,876 ล้านบาท พร้อมกับเดินหน้าเปิดเกมรุกอย่างหนักหน่วงในปี 2566 ด้วยเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท รายได้รวม 57,500 ล้านบาท พร้อมกับลุยเปิดโครงการใหม่เป็นตัวเลข new high 58 โครงการ 77,000 ล้านบาท โดยในครึ่งแรกของปี 2566 เอพี กวาดรายได้รวมไปแล้ว 23,856 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,023 ล้านบาท
จุดเปลี่ยนสำคัญสู่การเป็นบริษัทอสังหาฯระดับบิ๊กเนมเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลังจาก เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในปี 2556 เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรให้สามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนชื่อบริษัทและเครื่องหมายการค้าจากเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ มาเป็น เอพี (ไทยแลนด์)
พร้อมกับการปรับโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ ปรับทั้ง Vision และ Mission ใหม่หมด ดึงคนรุ่นใหม่ และวิธีคิดใหม่ๆ อย่าง Design Thinking ส่งตรงจาก Stanford เข้ามาใช้ขับเคลื่อนองค์กร พร้อมกับวางเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทอสังหาฯที่ครองใจผู้บริโภคด้วยสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ภายใต้ปรัชญา Empower Living : ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้
นอกจากการปรับใหม่ในทุกองคาพยพของบริษัทแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ เอพี (ไทยแลนด์) เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ก็คือการได้ มิตซูบิชิ เอสเตท จากประเทศญี่ปุ่น มาเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีโครงการที่พัฒนาร่วมกันตั้งแต่ปี 2557 จนถึงครึ่งแรกของปี 2566 รวมแล้ว 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,304 ล้านบาท เป็นโครงการที่ปิดการขายไปแล้ว 13 โครงการ คงเหลือโครงการร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท\
พร้อมกับคำมั่นสัญญาของทั้ง 2 ฝ่ายว่าจะจับมือสร้างความแข็งแกร่งร่วมกันไปอีกยาวนานเท่าที่จะเป็นไปได้
“ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยยะความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ
จากจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจร่วมทุนเมื่อปี 2014 สิ่งหนึ่งที่เราทั้ง 2 องค์กรมีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกันคือการมองหาพันธมิตร ที่พร้อมจะขับเคลื่อนและผลักดันธุรกิจให้เติบโตไปในระยะยาวด้วยกัน ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่และท้าทายอย่างมาก
มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ เรามีรูปแบบการร่วมทุนที่พิเศษและแตกต่างจากการร่วมทุนอื่นๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เรามีการวาง Road Map เพื่อผลักดันความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจร่วมทุนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ด้วยการจัดตั้งบริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลัก ในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว
รวมถึงยังมีการส่งทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มานั่งทำงานประจำร่วมกับทีมเอพีที่สำนักงานใหญ่ ทำให้เรากับทาง มิตซูบิชิ เอสเตท ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายเดียวที่มี Business Model การร่วมทุนในแบบการจัดตั้งบริษัทแม่ในไทย ซึ่งต่างจากที่อื่นๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนระยะสั้น ซึ่งเมื่อโครงการจบลง บริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาก็จะปิดตัว ถือเป็นการสิ้นสุดความร่วมมือทางธุรกิจ
เรามีวันนี้ร่วมกันได้เกิดจาก Trust ที่เรามีร่วมกัน ต้องขอขอบคุณทาง มิตซูบิชิ เอสเตท ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย เชื่อมั่นในปรัชญาองค์กร Empower Living รวมถึงเชื่อมั่นใน Process การทำงานของเอพีเรา ที่ถือเป็น Key สำคัญในการขับเคลื่อนให้การดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ประสบความสำเร็จ” นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวไว้ในงานฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความร่วมมือระหว่าง เอพี (ไทยแลนด์) กับ มิตซูบิชิ เอสเตท
นอกจากนี้ การร่วมทุนระหว่างเอพีกับมิตซูบิชิ เอสเตท ยังได้สร้างคุณูปการให้กับการพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทยด้วยกันหลายประการ
เรื่องแรกก็คือ เม็ดเงินลงทุนที่ร่วมขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโต ซึ่งปัจุบัน บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด จัดเป็นบริษัทที่มีขนาดธุรกิจระดับใหญ่ (Large) มีทุนจดทะเบียนมากถึง 12,619,408,010 บาท โดยส่วนหนึ่งถือเป็นเงินทุนที่ทางพันธมิตรได้คงไว้ในประเทศไทย เพื่อใช้สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ในอนาคตร่วมกัน
ตลอด 10 ปี กับ 24 โครงการมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านบาท ที่พัฒนาร่วมกัน ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัทที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรมไทย
ข้อที่สองคือ การถ่ายทอดองค์ความรู้จากพันธมิตรญี่ปุ่นสู่ประเทศไทย บริษัทญี่ปุ่นเป็นที่ยอมรับระดับสากล ด้านวินัยในการทำงาน การใส่ใจในรายละเอียด และการให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกขั้นตอน การส่งเจ้าหน้าที่มิตซูบิชิ เอสเตท มาทำงานในออฟฟิศเดียวกันกับทีมงานเอพี ไทยแลนด์ แสดงให้เห็นถึง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความจริงใจ ที่มีให้กันและกัน
นั่นหมายถึง ทุกๆ วัน คือ โอกาสในการแบ่งปันองค์ความรู้ ให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน ตลอดจน ยังเป็นการจุดประกายให้พนักงานเอพีไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เพื่อนำวิธีคิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงการ ที่สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าไทยมากที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใด เรามุ่งหวังว่าลูกค้า จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการผสานความเป็นที่สุดของ 2 ประเทศเข้าไว้ร่วมกัน
ข้อที่สาม ผลพ่วงจากการร่วมทุนในแบบ Long-Term Partnership คือการได้มีส่วนร่วมแบ่งปันองค์ความรู้เฉพาะทางคืนกลับสู่สังคม ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทาง มิตซูบิชิ เอสเตท ในกิจกรรม AP Open House ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เราเปิดให้นิสิต นักศึกษาจากทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เข้ามาฝึกงานกับเรา และในแต่ละปีจะมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่จะได้รับทุนมาศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นกับทางมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม
ทางด้านนายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวในโอกาสเดียวกันนี้ว่า สำหรับธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทนั้น เริ่มต้นมาเป็นระยะเวลากว่า 50 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา สู่การเข้าพัฒนาในยุโรป ถึงวันนี้ เรามีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอเชีย ที่ประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เติบโต และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ
รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดเวลา 10 ปีที่ดำเนินธุรกิจร่วมทุนกันมา เราได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กร ซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เราสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ หากความร่วมมือของเราเป็นแบบจบเป็นรายโครงการ
หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่การขับเคลื่อนให้เกิดมิตรภาพที่ดี และยาวนานของเราทั้งสองบริษัท ที่พิเศษและแตกต่างจากการร่วมทุนใดๆ คือ การที่เจ้าหน้าที่พิเศษของมิตซูบิชิ ได้ร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่เอพีในออฟฟิศพื้นที่ทำงาน ณ เอพี สำนักงานใหญ่ ตลอดจนศักยภาพกระบวนการทำงานของเอพี ที่เปิดโอกาสให้มีประชุมร่วมกันภายใน สามารถติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยน กับแผนกต่างๆ ของเอพีได้ทุกวัน ถือเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานในอุดมคติสำหรับเรา ซึ่งเราขอขอบคุณเอพีเป็นอย่างสูงสำหรับความเอื้อเฟื้อดังกล่าว
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่เรามีต่อเอพีผ่านองค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง ถึงแก่นในด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพีที่ทวีคูณขึ้นเช่นกัน การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้เราได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ เรายังมีความมุ่งหมายตั้งใจที่จะสร้างคุณูปการให้กับธุรกิจร่วมทุนของเราและต่อสังคมไทย ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราในประเทศญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของเอพี ไทยแลนด์ ดังที่ทุกท่านคงได้เห็นมาแล้วจากการศึกษาดูงานเมื่อวานนี้ และขณะนี้ เรากำลังเพิ่มความทุ่มเทในด้านการแก้ไขปัญหาสังคมเพิ่มขึ้น อาทิ การพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการนำแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนมาใช้เป็นหลักในองค์กร
การสานต่อพันธกิจร่วมกันระหว่าง เอพี (ไทยแลนด์) และ มิตซูบิชิ เอสเตท จะยังดำเนินต่อไปในทศวรรษที่ 2 ต่อยอดจากความร่วมมือในทศวรรษแรกภายใต้มอตโต้ “From Strength To Strength” ปลุกปั้นธุรกิจร่วมทุนให้ดีวันดีคืนและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และจะเป็นแรงส่งให้กับเอพี (ไทยแลนด์) ก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้หรือไม่โปรดติดตาม