แอล.พี.เอ็น. ชี้สงคราม-เงินเฟ้อ ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังชะลอต่อเนื่อง แต่พร้อมเปิดหน้าชน ลุยผุด 6 โครงการใหม่ทั้ง คอนโด-บ้าน มูลค่า 6,700 ล้าน มั่นใจดีมานด์ยังมีอยู่ พร้อมเปิดตัวแบรนด์ “168” บ้าน-คอนโดดีไซน์ใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวล ลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ว่า แม้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นถดถอย (Recession) ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโควิด – 19 และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงเกินร้อยละ 5 ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ประมาณร้อยละ 0.25-0.5 เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการตามแผนที่วางไว้ 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ โครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ มูลค่า 3,700 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2565 ได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะเปิดเพิ่มอีก 6 โครงการ มูลค่า 6,700 ล้านบาท โดยยังคงเป้ายอดขายไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านบาท และรายได้ 10,000 ล้านบาท
เราได้มีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังคงดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ เพราะมองว่าตลาดยังคงมีกำลังซื้อ แต่ผู้ซื้ออาจจะปรับลดงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยลง เพราะไม่แน่ใจรายได้ในอนาคต โดยที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังคงมีแนวโน้มเติบโตทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการและอยู่ในงบประมาณของผู้ซื้อที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูงได้เป็นอย่างดี” นายโอภาส กล่าว
ครึ่งปีแรกยอดขาย-รายได้พุ่ง ลุยเปิด 6 โครงการใหม่
สำหรับโครงการเปิดใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกปี 2565 ประกอบด้วย โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า, โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น, โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต – คลอง 1 เฟส 3 และโครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย เฟสใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด ทำให้มียอดขายในครึ่งปีแรกรวม 4,800 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 17 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 13,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดการรับรู้รายได้ของบริษัทในครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 4,190.74 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 338.78 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 50 และ ร้อยละ 39 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
“ยอดขายและการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีอัตราการเติบโต เป็นผลมาจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2564 กำลังซื้อที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปี 2564 เริ่มกลับเข้าสู่ตลาด ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวในช่วงปลายไตรมาส 2 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3″
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเผชิญกับปัจจัยลบหลายปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่การที่กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับใช้และการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มจำนวน ในปี 2565 ด้านหนึ่งทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีต้นทุนทางการเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่ดินเปล่าและสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้เจ้าของที่ดิน (Landlord) ยอมที่จะขายที่ดินออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการถือครองที่ดิน เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต
“บริษัทตั้งงบในการซื้อที่ดินในปี 2565 ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท โดยได้ลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว 1,400 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี และยังมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2,600 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” นายโอกาสกล่าว
ส่วนโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการวิลล์ 168 บางหว้า อยู่ที่บริเวณราชพฤกษ์ ซอย 5 ใกล้มหาวิทยาลัยสยาม และโครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช ซอย 19 พร้อมกับเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ ประกอบด้วย เวนู 168 ราชพฤกษ์ , เวนู 168 เวสต์เกต และเวนู 168 คูคต สเตชั่น และโครงการเรสซิเดนซ์ 168 ราชพฤกษ์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 3,700 ล้านบาท
168 บ้าน-คอนโดแบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่ม new gen
ทุกโครงการที่เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ “168” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Home) ตอบสนองการใช้ชีวิตในวันนี้ ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องการผสานการใช้งาน (Function) และการดึงอารมณ์ ความรู้สึก (Emotion) ตามความชอบ บุคลิก ที่ต้องเข้าใจ Insight ของลูกค้าแต่ละกลุ่มที่มีความเฉพาะเจาะจง ทำให้งานออกแบบมีสไตล์ที่สะท้อนตัวตน และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้ชัดเจน
การออกแบบทั้งโครงสร้างและตกแต่งภายในแบบ Stylish Smart Living บ้านวิถีใหม่ ที่มีสไตล์เฉพาะตัวด้วยเทคโนโลยีการอยู่อาศัยที่ง่ายขึ้น มีเอกลักษณ์สัมพันธ์กับพื้นที่ ไม่เพียงแค่ความสวยงามทันสมัยเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจกับการใช้งานที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริงของคนเมืองรุ่นใหม่ ที่ลงตัวในทุกมิติของการใช้ชีวิต ทั้งการใช้งานและการออกแบบที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ (Identity) เฉพาะตัวของผู้อยู่อาศัย ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (First Jobber) กลุ่มที่สร้างธุรกิจเอง (Entrepreneur) รวมไปถึงกลุ่ม Startups
เราปรับการออกแบบทุกโครงการและทุกยูนิตภายใต้แบรนด์ ”168” ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยนำผลวิจัยทุกความต้องการของลูกค้า (Human Centric) ของ LPN มา Re-Design ทุกโครงการใหม่ของเราให้มีรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรับฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Customer Target) และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละโครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) Turnaround ขององค์กร
โดยในปี 2565 เป็นปีที่เราเดินหน้าการทำธุรกิจอย่างเต็มสูบ หลังจากที่ชะลอแผนการลงทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อที่จะสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และสร้างฐานเพื่อการรับรู้รายได้ตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะสร้างยอดขายแตะระดับ 20,000 ล้านบาทในปี 2569 ด้วยการเปิดตัวและพัฒนาโครงการใหม่ให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมายและในทุกทำเลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล” นายโอภาส กล่าว