จากกรณีที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้แถลงข่าวเปิดเผย กลลวง ของบริษัทสินเชื่อ เพื่อเตือนภัยผู้บริโภคในการใช้บริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนองของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ ที่มีการทำสัญญาไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค ทั้งการไม่มอบเอกสารคู่สัญญา เสนอขายประกันพ่วงโดยไม่ให้สิทธิผู้บริโภคในการปฏิเสธ ให้เงินกู้ไม่เต็มจำนวน คิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม และท้ายสุดฟ้องคดีเรียกชดใช้เงินตามสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม
สืบเนื่องจากสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนองของบริษัทสินเชื่อรายหนึ่งที่มีการทำสัญญาไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค ดังนี้
1) ผู้ขอสินเชื่อไม่ได้รับเอกสารคู่สัญญา โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทอ้างว่าเป็นนโยบายของบริษัท
2) ขายประกันชีวิตและประกันวินาศภัยพ่วง โดยไม่ให้สิทธิผู้บริโภคในการปฏิเสธ
3) คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน
4) ได้รับเงินไม่ครบตามจำนวนที่ขอสินเชื่อ
5) โฆษณาว่าฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีการเรียกเก็บ
6) บริษัทจำกัดการชำระเงินต้น ทำให้ผู้บริโภคต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
7) กำหนดให้ผู้กู้ชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือน หากไม่สามารถชำระได้ จะให้ทำสัญญากู้ใหม่ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอีกครั้งหนึ่ง
8) เมื่อชำระเงินกู้ครบตามสัญญาแล้ว กลับเรียกเก็บค่าประเมินหลักประกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคเป็นคนขอหนังสือประเมินจากสำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง
ตามที่ Property Mentor ได้นำเสนอข่าวไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 https://thaipropertymentor.com/archives/18875
ศรีสวัสดิ์ชี้แจงกรณีถูกร้องเรียนปล่อยกู่ไม่เป็นธรรม
ต่อมาปรากฏว่า บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ออกหนังสือชี้แจงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า บริษัทได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องแล้วพบว่าประเด็นข้อร้องเรียนดังกล่าวเป็นกรณีผู้ขอสินเชื่อราย ที่ได้รับบริการ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนองจากบริษัท” ตามที่สภาองค์กรได้จัดแถลงข่าวนั้น ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และได้ชี้แจงรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1.ผู้ขอสินเชื่อไม่ได้รับเอกสารคู่สัญญาจากบริษัท
มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากในการให้บริการของบริษัทเพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการสินเชื่อ บริษัทได้ให้ลูกค้าได้ลงนามในเอกสารเพียงฝ่ายเดียวและรับเงินสินเชื่อจากบริษัทไปเลยทันที โดยจะนำเอกสารสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ผู้มีอำนาจลงนามอย่างถูกต้องเป็นการภายในต่อไป
แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 บริษัทได้กำหนดมาตรการจำกัดจำนวนพนักงานผู้ปฏิบัติงานซึ่งส่งผลให้การดำเนินการงานเอกสารต่างๆ มีความล่าช้า บริษัทได้แจ้งต่อลูกค้าว่าสามารถติดต่อขอรับสำเนาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ในภายหลังตามความสะดวกของลูกค้า
ความเข้าใจที่ว่ากรณีดังกล่าวเป็นผลเสียต่อผู้บริโภคในการถูกฟ้องคดีนั้น ก็ถือเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากหากบริษัทฟ้องร้องให้ผู้ขอรับสินเชื่อชำระหนี้ บริษัทจะต้องชี้แจงรายละเอียดรวมถึงนำส่งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวช้องต่อศาลเพื่อให้ศาลและผู้ขอรับสินเชื่อได้พิจารณาโดยละเอียด ผู้ขอรับสินเชื่อมีโอกาสตรวจสอบและโต้แย้งข้อเท็จจริงต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
2.มีการขายประกันชีวิตและประกันวินาศภัยพ่วงโดยไม่ให้สิทธิปฏิเสธและมีการระบุบริษัทประกัน
บริษัทมีนโยบายที่ชัดเจนว่า ผู้ขอรับสินเชื่อไม่มีหน้าที่หรือเงื่อนไขใดๆ ในการซื้อประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยกรณีของลูกค้า บริษัทตรวจสอบแล้วพบว่าพนักงานสาขาถนนบางบอน 3 ได้มีการเสนอให้ลูกค้าผู้กล่าวอ้างจริง บริษัทจะพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อพนักงานเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
3.มีการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปีซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ในประเด็นนี้ บริษัทขอชี้แจงในสองมุมมอง ดังต่อไปนี้
ในเรื่องความเสี่ยงการให้บริการ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” จากบริษัทถือเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เปรียบเทียบได้กับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยบริษัทได้ให้บริการสินเชื่อดังกล่าวโดยบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี ซึ่งผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย ได้รับทราบถึงเงื่อนไขการให้บริการและได้เลือกที่จะขอรับ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อของตน
ส่วนในมุมมองเรื่องข้อกฎหมายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนั้น บริษัทได้เรียนชี้แจงทุกครั้งอย่างชัดเจนว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นหลักฐานว่าธุรกรรมการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ถือเป็นการให้กู้ยืมเงินภายใต้กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราแต่ประการใด
4.ลูกค้าผู้กล่าวอ้างได้รับเงินกู้ยืมไม่ครบตามจำนวนที่ขอสินเชื่อ
บริษัทได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัย ประกันชีวิตกลุ่ม และประเมินหลักประกัน สำหรับ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” โดยผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย มีสิทธิเลือกที่จะนำชำระค่าธรรมนียมเป็นเงินสดหรือตกลงให้บริษัทหักค่าธรรมเนียมออกจากสินเชื่อที่ขอรับบริการ
5.โฆษณาว่าฟรีค่าธรรมเนียม แต่กลับมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากลูกค้าผู้กล่าวอ้าง
บริษัทได้กำหนดโปรโมชั่นเกี่ยวกับ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” ว่าหากผู้ขอรับสินเชื่อประสงค์จะขอรับบริการสินเชื่อเป็นระยะเวลา 12 งวดการผ่อนชำระ (หรือ 1 ปี) และวงเงินสินเชื่อตามที่บริษัทกำหนด บริษัทจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ดี บริษัทจะขอพิจารณาทบทวนวิธีการและช่องทางการให้ข้อมูลและการกำหนดเงื่อนไขการได้รับสิทธิ รวมถึงโปรโมชั่นอื่น (หากมี) เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
6.บริษัทจำกัดการชำระเงินต้น ทำให้ลูกค้ามีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
บริษัทได้เสนอทางเลือกให้แก่ผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย โดยเลือกผ่อนชำระ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” เฉพาะดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในแต่ละเดือน โดยชำระเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อครบระยะเวลาการรับสินเชื่อ (ผ่อนแบบบอลลูน) หรือเลือกผ่อนชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละเดือนจนครบจำนวน ก็ได้ ทั้งนี้ลูกค้าผู้กล่าวอ้าง เลือกการผ่อนชำระแบบชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นรายเดือนในแต่ละเดือน โดยชำระเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อครบระยะเวลาการรับสินเชื่อ (ผ่อนแบบบอลลูน) เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการใช้สินเชื่อที่ได้รับจากบริษัท
อย่างไรก็ดี บริษัทขอเรียนยืนยันว่าในการเลือกผ่อนชำระทั้ง 2 วิธีดังกล่าวนั้น บริษัทจะคำนวณดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดในการให้สินเชื่อเพื่อมิให้ผู้ขอรับสินเชื่อจะต้องชำระสินเชื่อเกินกว่าอัตราที่ได้ตกลงกัน
7.กำหนดให้ผู้กู้ชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือน หากไม่สามารถชำระได้ จะทำสัญญาเงินกู้ใหม่และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในปีถัดไป
บริษัท กำหนดระยะเวลาการให้บริการ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” สูงสุดเท่ากับ 12 งวดผ่อนชำระ (1 ปี) หากผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย เลือกที่จะขอรับบริการ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” เกินกว่า 12 งวดผ่อนชำระ (1 ปี) ก็จะต้องปิดวงเงินเดิม ทำราคาประเมินบ้านและที่ดินใหม่ รวมถึงประเมินสภาพแวดล้อมของบ้านและที่ดินใหม่ และขอรับบริการ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” ภายใต้สัญญาใหม่
8.เมื่อชำระเงินกู้ครบตามสัญญาแล้ว แต่บริษัทไม่คืนโฉนดโดยอ้างว่ามีค่าธรรมเนียมค้างชำระ
ตามที่บริษัทได้เสนอทางเลือกให้แก่ผู้ขอรับสินเชื่อทุกรายเลือกชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ตอนเริ่มการขอรับสินเชื่อหรือชำระพร้อมการผ่อนงวดสุดท้ายก็ได้ บริษัทขอยืนยันว่าบริษัทได้ถือกฎระเบียบ ความโปร่งใส และประโยชน์ของลูกค้า
สภาองค์กรของผู้บริโภคโต้กลับชี้แจงไม่ตรงประเด็น
จากคำชี้แจงของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สภาองค์กรของผู้บริโภค โดยนายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวว่า เนื้อความไม่ได้ชี้แจงถึงปัญหาอย่างตรงประเด็น และยังมีข้อความบางส่วนที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ เช่น บอกว่าการไม่ส่งมอบคู่ฉบับสัญญานั้นไม่กระทบต่อผู้บริโภค การหยิบยกอีกบริษัทหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกับ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ทั้งที่เป็นคนละบริษัทและได้รับใบอนุญาตไม่เหมือนกัน เป็นต้น
นายโสภณ อธิบายว่า สำหรับกรณีการไม่ส่งมอบสัญญาคู่ฉบับให้ผู้บริโภค ซึ่งทางบริษัทชี้แจงว่าได้แจ้งต่อผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย ว่าสามารถติดต่อขอรับสำเนาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ในภายหลังตามความสะดวก พร้อมระบุว่า หากมีการฟ้องร้อง บริษัทจะต้องชี้แจงรายละเอียดรวมถึงนำส่งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ศาลและผู้ขอรับสินเชื่อได้พิจารณาโดยละเอียดอยู่แล้ว นั่นแปลว่า บริษัทไม่ได้ส่งคู่ฉบับสัญญาให้ผู้บริโภคจริง
สภาองค์กรฯ ยืนยันว่าการไม่ส่งมอบสัญญาคู่ฉบับนั้น เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคแน่นอน และตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจต้องส่งมอบสัญญา รวมถึงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับผู้บริโภคทันทีเมื่อลงนามในสัญญา ไม่ใช่สร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องติดตามขอรับเอกสารในภายหลัง ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษของผู้ประกอบการที่ไม่นำส่งคู่ฉบับไว้ คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายโสภณกล่าว
ส่วนกรณีการขายประกันพ่วงโดยไม่ให้สิทธิปฏิเสธนั้น แม้บริษัทแจ้งว่ามีนโยบายชัดเจนว่า ผู้ขอรับสินเชื่อไม่มีหน้าที่หรือเงื่อนไขใดๆ ในการซื้อประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยกับบริษัท บริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 มีใบอนุญาตนายหน้าขายประกันตามกฎหมาย ย่อมทราบดีถึงกฎระเบียบในการขายประกัน ว่าผู้ขายประกันจะต้องมีใบอนุญาตเท่านั้น แต่กลับปล่อยให้พนักงานบางสาขาของบริษัทขายประกันโดยไม่มีใบอนุญาต และสุดท้ายบริษัทได้ผลประโยชน์ค่านายหน้าการขายประกันตกได้แก่บริษัทนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทรู้หรือควรจะรู้หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าว ดังนั้นบริษัทจึงต้องรับผิดชอบต่อผู้บริโภคตามกฎหมาย
หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวต่ออีกว่า ประเด็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปีซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การที่บริษัทกล่าวอ้างถึงบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ที่สามารถเก็บอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี เนื่องจากเป็นบริษัทสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยนำมาเปรียบเทียบกับ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด คำชี้แจงเช่นนี้ทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากทั้งสองบริษัทเป็นคนละนิติบุคคลกัน และบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 ไม่ได้มีใบอนุญาตดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามที่บริษัทอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นหลักฐานว่า ‘ธุรกรรมการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ถือเป็นการให้กู้ยืมเงินภายใต้กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา’ นั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะสัญญาที่ผู้บริโภคร้องเรียนมายังสภาองค์กรฯ นั้นไม่ใช่การทำธุรกรรมตั๋วสัญญาใช้เงินแต่เป็นสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
นอกจากนี้ การที่อ้างชื่อบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตและมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินได้โดยนำมาเกี่ยวโยงกับกรณีของบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 นั้น อาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าคู่สัญญาที่แท้จริงเป็นบริษัทศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด และย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมหรือชักใยในการกระทำความผิดภายในกลุ่มของบริษัท ดังนั้นจึงสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบความเกี่ยวโยงของการกระทำความผิดของบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ด้วย ว่ามีพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดหรือสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดใด ๆ ด้วยหรือไม่
สำหรับประเด็นที่ผู้บริโภคไม่ได้รับเงินกู้ครบตามจำนวน และ บริษัทชี้แจงว่า ว่าเป็นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัย ประกันชีวิตกลุ่ม และประเมินหลักประกัน สำหรับ “สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง” ย่อมเป็นการยอมรับว่าคำโฆษณาว่าการโฆษณาฟรีค่าธรรมเนียมนั้นไม่เป็นความจริง ถือว่าอาจเข้าข่ายโฆษณาหลอกลวง ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้มีหนังสือไปถึง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ขอให้ตรวจสอบโฆษณาดังกล่าว และต่อมา สคบ. ก็ได้มีหนังสือเชิญบริษัทเข้าไปชี้แจง
นายโสภณกล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่บริษัทออกแบบการชำระสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง) โดยจำกัดการชำระเงินต้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้บริโภคต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งยังทำให้ผู้บริโภคไม่สามารปิดหนี้ได้โดยง่าย เพราะแม้ว่าผู้บริโภคจะชำระเงินรายงวดมากกว่ายอดที่กำหนด เงินที่เกินนั้นก็ไม่ได้นำไปหักลดยอดเงินต้นในทันที แต่ถูกเก็บเอาไว้เพื่อเป็นเงินชำระในงวดถัดไป
อีกทั้งการที่บริษัทกล่าวอ้างว่า สาเหตุที่ต้องกำหนดให้ผู้กู้ชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือน เนื่องจากบริษัทต้องบริหารความเสี่ยง โดยการทำราคาประเมินบ้านและที่ดินใหม่ รวมถึงประเมินสภาพแวดล้อมของบ้านและที่ดินใหม่ดังกล่าว เพื่อให้มั่นใจว่าหลักประกันมีสภาพสมบูรณ์ เช่น ที่ดินไม่ได้มีการขุดหน้าดินไปขาย หรือ เกิดความเสียหายกับตัวบ้าน เป็นต้นนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเพราะบริษัทมีการวางแผนบริหารความเสี่ยงอยู่แล้วโดยจำกัดวงเงินกู้ ไว้ที่ 200,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 40 ของมูลค่าทรัพย์ที่ประเมินจากกรมที่ดิน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บค่าประเมินดังกล่าว
ทั้งนี้ พบว่าบริษัทไม่ได้ชี้แจงเรื่องที่ไม่คืนโฉนดโดยอ้างว่ามีค่าธรรมเนียมค้างชำระแต่อย่างใด และพบข้อเท็จจริงว่ามีผู้บริโภคที่ไปใช้บริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง และพบปัญหาในลักษณะดังกล่าวเช่นกันผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะบริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 2014 จำกัด เท่านั้น ที่มีพฤติการณ์ในลักษณะดังกล่าว แต่เชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายบริษัทที่มีพฤติการณ์ทำนองเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งเป็นการทำลายความสงบเรียบร้อยอันดีของประชาชน ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคจะเข้าไปตรวจสอบในทุกกรณีที่มีการกระทำความผิดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
ฟังข้อมูลจากทั้งผู้ปล่อยกู้ และตัวแทนจากผู้บริโภคแล้ว เชื่อว่าคงจะตู้สู้กันในแง่มุมข้อกฎหมายกันอีกยาว แต่ที่แน่ๆ คงจะเป็นข้อเตือนใจผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ได้เป็นอย่างดี ว่า การปล่อยสินเชื่อแต่ละรูปแบบล้วนมีเงื่อนไข รายละเอียด หลักเกณฑ์ ข้อกฎหมายที่บางทีเราอาจจะไม่รู้ หรือรู้ไม่หมด ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดให้รอบด้านซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่เราจะใช้บริการก่อนการตัดสินใจ มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ในภายหลัง