ใครจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อต้องระวัง ตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นเราอาจจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือบางทีอาจจะถูกกลโกงจนเกิดความเสียหายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งหลายๆ กรณีเคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยล่าสุดสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้เปิดเผยกลลวง ของบริษัทสินเชื่อ เพื่อเตือนภัยผู้บริโภคในการใช้บริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนองของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ ที่มีการทำสัญญาไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค ทั้งการไม่มอบเอกสารคู่สัญญา เสนอขายประกันพ่วงโดยไม่ให้สิทธิผู้บริโภคในการปฏิเสธ ให้เงินกู้ไม่เต็มจำนวน คิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม และท้ายสุดฟ้องคดีเรียกชดใช้เงินตามสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม
ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Service) สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ศูนย์บริการผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนองของบริษัทสินเชื่อรายหนึ่งที่มีการทำสัญญาไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค ดังนี้
1) ผู้ขอสินเชื่อไม่ได้รับเอกสารคู่สัญญา โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทอ้างว่าเป็นนโยบายของบริษัท
2) ขายประกันชีวิตและประกันวินาศภัยพ่วง โดยไม่ให้สิทธิผู้บริโภคในการปฏิเสธ
3) คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน
4) ได้รับเงินไม่ครบตามจำนวนที่ขอสินเชื่อ
5) โฆษณาว่าฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีการเรียกเก็บ
6) บริษัทจำกัดการชำระเงินต้น ทำให้ผู้บริโภคต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
7) กำหนดให้ผู้กู้ชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือน หากไม่สามารถชำระได้ จะให้ทำสัญญากู้ใหม่ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอีกครั้งหนึ่ง
8) เมื่อชำระเงินกู้ครบตามสัญญาแล้ว กลับเรียกเก็บค่าประเมินหลักประกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคเป็นคนขอหนังสือประเมินจากสำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่าพนักงานบางสาขาของบริษัทรายนี้ไม่มีใบอนุญาตขายประกันภัย ทั้งประกันชีวิต และประกันวินาศภัย และยังพบว่า มีผู้บริโภคถูกฟ้องร้องจากบริษัทเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่อยู่ในต่างจังหวัดที่มีจำนวนมาก
ด้าน จิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร สภาองค์กรของผู้บริโภค และทนายความ กล่าวว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้าข่ายมีความผิดในหลายส่วน ทั้งการไม่ส่งมอบคู่ฉบับสัญญาให้ผู้กู้ยืมเงิน ถือว่าฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 สำหรับเรื่องการขายประกันพ่วงนั้น การทำประกันไม่ควรถูกใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการให้สินเชื่อ เพราะถือว่าผิดหลักการอิสระในการแสดงเจตนาทำสัญญา
ส่วนประเด็นเรื่องดอกเบี้ย จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. จึงต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 คือไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หากฝ่าฝืนมีโทษอาญาจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังตั้งคำถามว่าการที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินเต็มตามจำนวนเงินที่ระบุในสัญญากู้ อาจเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับเงินไม่ครบตามจำนวนที่ระบุลงในสัญญา ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินคืนตามจำนวนที่ขอกู้ แต่ให้คืนเงินเท่ากับจำนวนที่ได้รับจริงเท่านั้น
จิณณะ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่มีการโฆษณาว่าไม่มีค่าธรรมเนียม แต่สุดท้ายมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนั้นเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ส่วนประเด็นการจำกัดการชำระเงินต้น ทั้งยังกำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือนนั้น สะท้อนว่าบริษัทไม่ได้มีธรรมาภิบาลหรือคุณธรรมเพียงพอในการประกอบธุรกิจ โดยมุ่งหาประโยชน์หรือกำไรจากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม
กรณีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และสื่อไปในทางไม่สุจริต เนื่องจากการกำหนดให้ชำระภายใน 12 เดือน ทำให้ผู้บริโภคต้องหาเงินมาชำระให้หมดภายในเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถชำระจนครบ จะต้องทำสัญญาใหม่ไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบ เรื่องเรียกเก็บค่าไถ่โฉนด โดยอ้างว่าเป็นค่าประเมินหลักประกันนั้น ตามความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคเป็นคนขอหนังสือประเมินจากสำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง
โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น สภาองค์กรของผู้บริโภคจะช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้ผู้บริโภคได้โฉนดคืน ในส่วนหน่วยงานควรหามาตรการ แนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหาเชิงนโยบายไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเรื่องการขายประกัน (คปภ.) และเตรียมทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว
สำหรับข้อเสนอที่สภาองค์กรของผู้บริโภคส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ มีดังนี้
-ขอให้ สคบ. ตรวจสอบการโฆษณาและดำเนินการตามกฎหมายกรณีไม่ส่งมอบสัญญาให้ผู้บริโภค
-ขอให้ คปภ. ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจในลักษณะที่ กระทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนประกอบกิจการที่เกี่ยวกับประกันภัย
-ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลัง กำกับดูแลสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นโฉนดที่ดินที่ไม่มีการจดจำนอง เช่นเดียวกับที่เคยกำกับทะเบียนรถยนต์
ทั้งนี้ ผู้เสียหายที่พบเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถร้องเรียนมายังสภาองค์กรของผู้บริโภค ผ่านเว็บไซต์ tcc.or.th ลิงก์ https://crm.tcc.or.th/portal/public ไลน์ออฟฟิเชียล (LINE Official) : @tccthailand หรือคลิกลิงก์ https://lin.ee/uhDyO1U หรือโทรศัพท์ : 02 239 1839 ต่อ 101 หรือติดต่อร้องเรียนได้ที่หน่วยงานประจำจังหวัด สภาองค์กรของผู้บริโภคทั้ง 13 จังหวัด (ข้อมูลติดต่อ หน่วยงานประจำจังหวัด สภาองค์กรของผู้บริโภค คลิ้กที่นี่ https://bit.ly/3Np19No)