fbpx
อาคารประหยัดพลังงาน 3

อาคารประหยัดพลังงานมาแรง LPN Wisdom ชี้ช่วยลดค่าไฟได้เป็นล้าน

LPN Wisdom เผยเทรนด์อาคารประหยัดพลังงานมาแรง หลังกฎกระทรวงกำหนดการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานมีผลบังคังคับใช้เริ่มตั้งแต่อาคารขนาด 1,000 ตร.ม.ขึ้นไป ชี้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ปีละกว่า 1 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 0.6% สามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี ด้านไนท์แฟรงค์เผยผลสำรวจคนทั่วโลกต้องการบ้านที่ประหยัดพลังงาน 

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ออกกฎกระทรวงเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือ Building Energy Code : BEC ด้วยการกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการออกแบบอาคาร เพื่อให้อาคารมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง

กฎกระทรวงฉบับล่าสุด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา โดยในปี 2564 จะบังคับใช้กับอาคารขนาด 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในขณะที่อาคารขนาด 5,000ตารางเมตรขึ้นไปจะมีผลในปี 2565 และอาคารขนาด 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป มีผลในปี 2566 ตามลำดับ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานในประเทศมากขึ้น

LPNทั้งนี้จากรายงานของกระทรวงพลังงาน พบว่า ตั้งแต่ปี 2552-2563 มีจำนวนอาคารที่ได้รับการประเมินเป็นอาคารประหยัดพลังงานตามเกณฑ์ของ BEC จำนวน 850 อาคาร มีการประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 630 ล้านหน่วย โดยกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายว่าภายใน 20 ปี นับจากปี 2561 ถึงปี 2581 การสร้างอาคารประหยัดพลังงานจะทำให้ประเทศไทยสามารถประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่า 13,700 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินกว่า 47,000 ล้านบาท และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ไม่น้อยกว่า 7,282 ตันต่อปี

“การสร้างอาคารประหยัดพลังงานเป็นประโยชน์ในระยะยาวกับเจ้าของอาคารและผู้ใช้อาคาร ซึ่งนอกจากประเด็นเรื่องของการประหยัดการใช้พลังงานในระยะยาวแล้ว การออกแบบอาคารประหยัดพลังงานยังมีส่วนสำคัญในการสร้างสุขอนามัย (Wellbeing) ที่ดีในการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ภายในอาคารด้วย” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ จากการศึกษาของทีม “ลุมพินี วิสดอม” พบว่า การพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานเป็นสำนักงานให้เช่าเกรด B ขนาด 10,000 ตารางเมตร จะสามารถประหยัดพลังงานได้เฉลี่ย 270,000 กิโลวัตต์ต่อปี คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1.12 ล้านบาทต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่น้อยกว่า 151,470 กิโลกรัมคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี

ในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างอาคารประเภทนี้สูงกว่าการสร้างอาคารปกติ ประมาณ 0.6% เมื่อเทียบความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานกับต้นทุนการก่อสร้างแล้ว แต่ละอาคารจะใช้เวลาในการคืนทุนจากต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลา 4.5-5 ปี โดยเฉลี่ย ซึ่งการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานจะให้ความสำคัญในการออกแบบครอบคลุมระบบเปลือกอาคาร ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ระบบผลิตน้ำร้อน และการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในอาคาร เป็นหลัก

Mill Place Posri อาคารที่ได้รับ LEED 2009 ระดับ Silver ประเภท Retail New Construction พื้นที่อาคาร 3,468 ตารางเมตร วัดค่าการประหยัดพลังงานได้ 206,173 kWh/year คิดเป็นเม็ดเงินที่ประหยัดการใช้พลังงานเฉลี่ย 855,617 บาทต่อปี

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า อาคารประหยัดพลังงานไม่เพียงสามารถออกแบบและพัฒนาอาคารขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาอาคารขนาดเล็ก ที่พักอาศัยทั้งอาคารชุดพักอาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ รวมถึงสามารถนำไปปรับปรุงอาคารเก่าให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานได้เช่นกัน โดยการนำเกณฑ์ในการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานมาใช้ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเจ้าของและผู้ใช้งานในอาคารได้ในระยะยาว

ที่ผ่านมา “ลุมพินี วิสดอม” ในฐานะที่เป็นบริษัทด้านวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้มีการให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานแล้ว 15 โครงการ ช่วยประหยัดพลังงานได้ประมาณ 135 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี

“ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานให้กับประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์กับส่วนรวมและการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

ด้าน Global Buyer Survey ของไนท์แฟรงค์ ได้เปิดเผยการวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 มีต่อทัศนคติผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั่วโลก จากแบบสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าไนท์แฟรงค์จำนวนกว่า 900 คนใน 49 ประเทศ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 84% เห็นว่า ที่พักอาศัยที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา

ขณะที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถาม กล่าวว่า พวกเขาสนใจที่จะซื้อที่พักอาศัยที่เน้นการประหยัดพลังงาน หากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สิน และ 27% เต็มใจที่จะซื้อที่พักอาศัยที่มีราคาสูงหากเป็นที่พักอาศัยที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานมากกว่า