ศุภาลัย เดินหน้าฝ่าวิกฤติโควิดตามแผน-เป้าหมายเดิม หลังครึ่งปีแรกทำยอดขายไปแล้วกว่า 13,000 ล้านบาท และรายได้ 11,000 ล้านบาท เตรียมปูพรม 22 โครงการใหม่ ทั้งบ้านแนวราบ-คอนโด
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำยอดขายอยู่ที่ 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมาจากโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นหลัก และโครงการที่เปิดตัวใหม่ แบ่งเป็นยอดขายโครงการบ้านแนวราบ 10,080 ล้านบาท คิดเป็น 78% คอนโดมิเนียม 2,925 ล้านบาท คิดเป็น 22% และคิดเป็น 48% จากเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีรายได้รวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็นรายได้จากโครงการบ้านแนวราบ 57% และจากคอนโดมิเนียม 43% ถึงแม้ว่าตลาดกลุ่มคอนโดมิเนียมจะยังคงชะลอตัวก็ตาม โดยบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563
“ในรอบครึ่งปีแรก 2564 บริษัทได้ก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญที่เกิดขึ้นและมีความท้าทายเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 อันยาวนาน บริษัทมีการวางแผนและปรับตัวอย่างรวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ควบคู่การมีมาตรการความปลอดภัยด้านชีวอนามัยให้ลูกค้าและดูแลคนงาน ด้วยมาตรการควบคุมโรคในแคมป์คนงานอย่างเข้มงวด แม้กระทั่งการงดเว้นหรือลดค่าเช่าให้ผู้เช่าของศุภาลัยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้ ยังมีการช่วยเหลือลูกค้าโครงการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานระเบิด ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ถือเป็นสิ่งท้าทายของบริษัทจึงมีการปรับแผนการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายด้านยอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี 2564 เช่นเดิม ที่ 27,000 ล้านบาท และ 28,000 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งคงแผนการเปิดโครงการที่ 31 โครงการ มูลค่า 34,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 9 โครงการ เป็นโครงการแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯและภูมิภาค รวมเป็นมูลค่า 9,180 ล้านบาท ส่วนในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่ตามแผนเดิมที่ 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านแนวราบ 18 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ โดยจะเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสที่ 3 จำนวน 7 โครงการ และไตรมาสที่ 4 อีก 15 โครงการ
ในส่วนของอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 58% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 1.80 % ต่อปี ณ 30 มิ.ย. 2564 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 36,002 ล้านบาท ณ 30 มิ.ย. 2564 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2564 จำนวน 14,202 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 21,800 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนในทำเลใหม่ๆ ที่จะขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 24 ส.ค.2564 และจ่ายปันผล วันที่ 8 ก.ย. 2564
นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง 2564 นอกจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง บริษัทยังเดินหน้าสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้ทันสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบ Virtual Tour รับชมโครงการเสมือนจริง และ Online Booking จองยูนิตที่สนใจ เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัย และรูปแบบ Supalai Private Tours เป็นการสื่อสารและชมโครงการได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อลดการสัมผัสให้เหมาะสมกับเหตุการณ์โควิด-19
รวมถึงกระบวนการก่อสร้าง โดยเน้น Waste Management เพื่อมีส่วนร่วมในการลดขยะให้สังคม และมีการปรับเปลี่ยนระบบด้านการบริการลูกค้าในรูปแบบออนไลน์ ทั้งใบเสร็จออนไลน์ และนิตยสารขององค์กรในรูปแบบ E-Magazine เพื่อเชิญชวนครอบครัวศุภาลัย รักษ์โลก ลดการใช้กระดาษ ลดการสัมผัส สอดรับกับโครงการ Supalai Care The Bear ผนึกพลังร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ทั้งทรู เฮลท์ จากบริษัท ทรู ดิจิทัล เพื่อพบหมอออนไลน์ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด เพื่อผลิตซีรีส์ อีกทั้งบ้านและสวน เพื่อแชร์ไอเดียใหม่ๆ สำหรับลูกค้าที่จะนำไปตกแต่งสวนสวยงามให้ที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่า ในปี 2564 จะเป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง การตลาดและการขาย การบริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมช่วยเหลือเพื่อสังคม ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก โดยมองว่า ภาพรวมการเติบโตของบริษัทจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายต่อไป