ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า แม้ว่าตลาดโดยรวมทั้ง บ้าน-คอนโด จะได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ซ่อนเร้นอยู่
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่า แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ในทางกลับกัน โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้ลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัย (real demand) ตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์เร็วขึ้น เนื่องจากความกังวลว่าเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่ออาจถูกปรับให้รัดกุมยิ่งกว่าเดิม
ประกอบกับ มีบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนในตลาดเป็นจำนวนมากใช้โปรโมชั่นหลากหลายรูปแบบ เพื่อเร่งระบายสินค้า จึงเป็นโอกาสของผู้ซื้อที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงและได้รับผลกระทบน้อยที่จะเลือกซื้อบ้านคุณภาพดีในราคาถูก
ปัจจัยดังกล่าวได้ทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ (นิติบุคคล) ในปี 2563 ปิดที่ 126,380 หน่วย เพิ่มขึ้น 5,060 หน่วยจากปี 2562 (เพิ่มขึ้น 4%) สวนทางกับตลาดบ้านมือสอง (บุคคล) ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 8,484 หน่วย (ลดลง 11%) ซึ่งที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดยังคงเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยวตามลำดับ โดยในกลุ่มบ้านเดี่ยวนั้นมีอัตราการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มสูงขึ้นมาก (เพิ่มขึ้น 11.4%) ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบของโควิด-19 ระลอก 2 ซึ่งแม้ว่าผู้ประกอบการเริ่มที่จะปรับตัวเปลี่ยนรูปแบบช่องทางการขายใหม่ และมีการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กลุ่มแรกในเดือนมีนาคม แต่คาดการณ์ยอดการโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ปี 2564 น่าจะเริ่มชะลอตัวลงโดยปิดที่ประมาณ 124,000 หน่วย
โครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้นจากบ้านแนวราบ
ในปี 2563 ภาพรวมของการเปิดโครงการใหม่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยผู้ประกอบการได้ชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไป และเลือกเปิดโครงการเฉพาะบาง segment สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่ายังมีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบไม่มากจากสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้จำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ของปี 2563 อยู่ที่ 72,752 ยูนิต ลดลง 38,492 ยูนิต (-34%) จากปี 2562 ซึ่งลดลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยที่คอนโดมิเนียมมีจำนวนยูนิตเปิดตัวใหม่ลดลงมากถึง 60% ขณะที่โครงการบ้านแนวราบลดลงเพียง 2%
สำหรับการเปิดโครงการของกลุ่มแนวราบที่น่าสนใจคือ ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท โดยที่ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 3-4 ล้านบาท เป็นกลุ่มสินค้าที่เข้ามาใหม่ในตลาดมากที่สุด เพราะเป็น real demand ที่มีความต้องการสูง รองลงมา คือกลุ่มคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนยูนิตเข้ามาใหม่ในสัดส่วนที่สูง ส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยวที่เปิดใหม่อยู่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ผลกระทบโควิด-19 รอบที่ 2 มีผลทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้ารุกหนักเต็มที่ โดยการเปิดโครงการใหม่ของปี 2564 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นกว่าปี 2563 แต่จำนวนยูนิตเปิดขายใหม่จะยังไม่ไปแตะระดับ 100,000 หน่วยเหมือนช่วงสถานการณ์ปกติ
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจำนวนยูนิตเปิดใหม่ปี 2564 จะอยู่ในช่วง 85,000-87,000 ยูนิต และจำนวนยูนิตเปิดใหม่ของโครงการบ้านแนวราบคาดว่าจะมีอัตราเปิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
คอนโดยอดขายลด 47% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี
สำหรับยอดขายที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลปี 2563 ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวมทุกประเภทอยู่ที่ 65,279 ยูนิต ลดลงมากถึง 35% จากปี 2562 ขณะที่อัตราการขายได้เปรียบเทียบกับจำนวนยูนิตเสนอขายทั้งหมด (อุปทานคงค้างรวม) เท่ากับ 22% (ค่าเฉลี่ยอัตราการขาย 3 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 34.7%)
ทั้งนี้ ในสถานการณ์ที่ท้าทายจากผลกระทบของโควิด-19 ยังมีมุมบวกคือจำนวนอุปทานรวม (supply) มีแนวโน้มที่จะปรับสมดุลของตลาดตามความต้องการของลูกค้า จากกลุ่มเก็งกำไรและนักลงทุนการที่ลดความร้อนแรงลง โดยจำนวนอุปทานรวม (supply) ในปี 2563 ปรับลดลงมาที่ระดับ 291,739 ยูนิต ซึ่งลดลง 8.5% จากจำนวน 318,743 ยูนิต ในปี 2562
การที่ตลาดคอนโดมิเนียมมียอดขายปรับลดลงอย่างมาก เนื่องมาจากลูกค้ากลุ่มเก็งกำไรและนักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติชะลอการซื้อและยกเลิกการซื้อขายเดิม หรือแม้กระทั่งการยกเลิกการขายทั้งอาคารสำหรับบางโครงการ ในภาพรวมทุก segment ของคอนโดมิเนียมมียอดขายรวมปี 2563 เท่ากับ 28,947 ยูนิต ลดลงถึง 47% จากปี 2562 ซึ่งเป็นยอดขายคอนโดมิเนียมที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่อุปทานรวมของคอนโดมิเนียมก็ปรับลดลงมาที่ระดับ 119,788 ยูนิต อัตราการขายได้เปรียบเทียบกับอุปทานรวมลดลงเหลือ 24% นับเป็นปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมเกิดปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนคือ เป็นปีที่คอนโดมิเนียมในทุกระดับราคาลดกระหน่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่สร้างแล้วเสร็จ ทั้งส่วนลดเงินสดสูงถึง 20% โปรโมชั่นอยู่ฟรี 2-3 ปี ตามระดับราคา เพื่อเร่งระบายสต็อคที่สร้างเสร็จ นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนตัวจริง (ที่ยังมีกำลังซื้อ) เริ่มชะลอการตัดสินใจ เพื่อรอเลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่ปรับลดราคาต่ำกว่าช่วงเปิดโครงการ
สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมปี 2564 สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า การขายจะยังคงชะลอตัว ผู้ประกอบการไม่เร่งเปิดโครงการใหม่ และจะมีการเปิดโครงการใหม่ในบางทำเลที่มีอุปทานคงค้างในตลาดเหลือไม่มาก หรือเป็นพื้นที่แนวรถไฟฟ้าเส้นใหม่ที่ยังมีอุปสงค์อยู่แต่ยังไม่มีโครงการในพื้นที่มากนัก
โดยกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมที่ต้องเฝ้าระวังยังเป็นกลุ่มคอนโดระดับราคาสูง โครงการขนาดใหญที่ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 5 ปี กลุ่มคอนโดมิเนียมที่เน้นขายนักลงทุนและกลุ่มที่ขายลูกค้าต่างชาติ ส่วนกลุ่มตลาดโดมิเนียมที่น่าสนใจคือ กลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาท ที่น่าจะยังมียอดขายไปได้ดี คาดการณ์ยอดขายคอนโดมิเนียมปี 2564 น่าจะยังชะลอตัวอยู่ในช่วง 30,000-32,000 ยูนิต
ทาวน์เฮ้าส์มาแรง แต่การแข่งขันสูงขึ้น
ด้านภาพรวมการขายของที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2563 ทาวน์เฮ้าส์ยังคงเป็นกลุ่มที่มีจำนวนยอดขายรวมสูงสุดที่ 20,557 ยูนิต ซึ่งมีการปรับตัวลดลงตามสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน โดยยอดขายรวมปรับตัวลดลง 28% จากปี 2562 ส่วนบ้านเดี่ยวมียอดขายรวมในปี 2563 เท่ากับ 10,690 ยูนิต ปรับตัวลดลง 3% จากปี 2562
แนวโน้มอุปทานเปิดใหม่ของทาวน์เฮ้าส์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 มีอุปทานคงค้างทั้งหมด 75,053 ยูนิต จำนวนยูนิตของทาวน์เฮ้าส์เปิดใหม่ในปี 2564 มีโอกาสที่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2563 แต่อย่างไรก็ตาม การขายของทาวน์เฮ้าส์ในปี 2564คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากทาวน์เฮ้าส์จะเป็นสินค้าหลักที่มาทดแทนตลาดคอนโดมิเนียม ในโซนของส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าในโซนรอบนอกมากขึ้น
ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการหลายรายลดการพัฒนาคอนโดมิเนียมลงและเปลี่ยนมาพัฒนาโครงการแนวราบโดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ในรัศมีของการเข้าถึงรถไฟฟ้าใหม่ส่วนต่อขยายได้ยังมีความต้องการของผู้ซื้อสูง ทดแทนการซื้อบ้านเดี่ยวที่ขยับราคาสูงขึ้นมากในระดับราคามากกว่า 7-10 ล้านบาท รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการที่จะอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมซึ่งมีข้อจำกัดของขนาดพื้นที่ที่เล็กลงมากไม่สอดคล้องกับระดับราคาที่สูงขึ้น
ในด้านระดับราคาขายของทาวน์เฮ้าส์ก็มีการปรับตัวของระดับราคาขายที่สูงขึ้น โดยกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ในพื้นที่ใกล้เมืองระดับราคา 3-4 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งการแข่งขันใน segment นี้ มีการแข่งขันสูงขึ้น ในบางทำเลเริ่มมีสัญญาณ over supply จากการที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ลงมาเล่นในตลาดนี้
นอกจากนี้ คาดว่ากลุ่มระดับราคาที่น่าจะมีการแข่งขันกันมากคือ ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายรวมของทาวน์เฮ้าส์ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 26,000++ ยูนิต ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณการขายได้ในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19ผลกระทบโควิด-19 ยังไม่จบ แต่โอกาสยังมี
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาปรับลดลงอย่างชัดเจน แต่อีกทางหนึ่ง ก็เป็นตัวกระตุ้นยอดการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงที่ได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งมองเห็นโอกาสที่จะเลือกซื้อบ้านในราคาที่ต่ำลง
โดยเฉพาะสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นปีที่มีการลดกระหน่ำในทุกระดับราคา โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดสร้างเสร็จ จัดโปรโมชั่นทั้งส่วนลด อยู่ฟรี 2-3 ปี เพื่อเร่งระบายสต๊อก และกลุ่มนักลงทุนคอนโดมิเนียม ที่เริ่มชะลอการซื้อเพื่อรอสินค้าลดราคาต่ำกว่าเปิดโครงการ
โดยสรุป สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 การขายยังคงชะลอตัว ผู้ประกอบการจะยังไม่เร่งเปิดโครงการใหม่ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบราคา 3-5 ล้านบาท ทั้งรูปแบบทาวเฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว (ระดับราคาขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง) สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อและคนทำงานที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่มาก
นอกจากนี้ ตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-10 ล้านบาท ยังขายได้ดีในบางทำเล และมีโอกาสเพิ่มขึ้นในบางโซนที่พื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูงขึ้นจากผังเมืองกรุงเทพฯที่ปรับใหม่
การพัฒนาของโครงการบ้านแนวราบทั้งทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวในปี 2563-2564 มีหลายพื้นที่ที่น่าสนใจและมีโอกาสในการพัฒนาสูง จากปัจจัยเรื่องของแนวถนนตัดใหม่ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ (ถนนตัดใหม่ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ทางด่วนพิเศษส่วนต่อขยาย การขยายตัวของเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ที่รองรับในพื้นที่ รวมถึงโอกาสจากผังเมืองกรุงเทพฯ ที่จะประกาศใช้ในอนาคต
พื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาโครงการแนวราบ เช่น โซนรามอินทรา หทัยราษฎร์ โซนศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา โซนบางนา-วงแหวนตะวันออก โซนเพชรเกษม โซนราชพฤกษ์ โซนประชาอุทิศ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรต้องศึกษาคู่แข่งและจำนวนอุปทานส่วนเพิ่ม (ในอนาคต) ในแต่ละพื้นที่อีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจพัฒนาโครงการ