เปิดตัวไปเรียบร้อยท่ามกลางเสียงร้องครวญครางของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กับแพ็คเกจกระตุ้นภาคอสังหาฯผ่านบัตรไทยแลนด์ อีลิท คาร์ด โดยล่าสุด บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และศูนย์บริหารสถานการเศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดตัว Elite Flexible One ซึ่งเป็นโปรแกรมพิเศษล่าสุดของบัตรไทยแลนด์ อีลิท คาร์ด เพื่อใช้ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีแนวคิดที่จะขยายสิทธิประโยชน์รองรับกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ขายโครงการได้เร็วขึ้น สร้างกระแสเงินสด และทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ด้วยดี รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านบัตรสมาชิกในรูปแบบของโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One”
ทั้งนี้ สมาชิกบัตรจะต้องมีการลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเข้าอยู่อาศัย ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เพื่อดึงให้กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ผ่านโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One ที่มีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (เริ่ม 1 มกราคม 2564 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565)
คุณสมบัติและเงื่อนไขของบัตรสมาชิกประเภท “Elite Flexible One” นั้น มีรายละเอียดดังนี้
1.ผู้สมัครต้องซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมซึ่งมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท และจะได้เป็นสมาชิกบัตรไทยแลนด์ อีลิท ตามประเภทบัตรที่บริษัทฯ กำหนด
2.ผู้สมัครที่ยื่นความประสงค์ขอเข้าร่วมโปรแกรม Elite Flexible One จะต้องแสดงหลักฐานยืนยันกรรมสิทธิ์การถือครองอสังหาริมทรัพย์ในนามของผู้สมัคร ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท และห้ามจำนอง จำหน่าย โอน ภายในระยะเวลา 5 ปี
3.เอกสารหลักฐานสำหรับการยื่นสมัครบัตรประเภท “Elite Flexible One”
3.1 หลักฐานยืนยันกรรมสิทธิ์การถือครองอสังหาริมทรัพย์ในนามของผู้สมัคร ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
3.2 หลักฐานการโอนเงินจากต่างประเทศเพื่อการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
3.3 ผู้สมัครต้องมีหนังสือเดินทางต่างประเทศ
3.4 ผู้สมัครต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
3.5 ผู้สมัครต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามที่บริษัทฯ กำหนด
สำหรับสิทธิพิเศษของ Elite Flexible One ก็คือผู้ที่เป็นสมาชิกประเภทนี้จะได้วีซ่าท่องเที่ยว (Privilege Entry Visa “PE”) เป็นเวลา 5 ปี เท่ากับของอายุบัตร โดยสามารถอยู่ในเมืองไทยได้คราวละ 1 ปี เมื่อครบ 1 ปี ก็สามารถขออยู่ต่อได้อีกคราวละ 1 ปี จนครบอายุวีซ่า โดยที่ไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ นอกจากนี้ยังได้สิทธิพิเศษในการอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกประเทศไทย รวมถึงยังสามารถ Upgrade เป็นบัตรสมาชิกประเภทบุคคล ภายใน 2 ปี โดยจ่ายเงินส่วนต่างของค่าธรรมเนียมบัตรนั้นๆ
ส่วนผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโปรแกรมนี้จะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอน โดยต้องระบุชื่อโครงการและจำนวนให้ชัดเจน สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องแจ้งความจำนงมายังบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด และมีการทำบันทึกความเข้าใจในข้อตกลงความร่วมมือกันกับบริษัท จึงจะสามารถดำเนินการในโปรแกรมพิเศษนี้ได้
สรุปก็คือ ถ้าซื้ออสังหาฯประเภทคอนโด (ต่างชาติซื้อได้เฉพาะคอนโด) มูลค่ารวมกัน 10 ล้านบาทขึ้นไป(จะซื้อหลายห้องก็ได้) โดยห้ามจำนอง ห้ามจำหน่าย ห้ามโอนภายในระยะเวลา 5 ปี ถึงจะได้สิทธิ์อยู่ในเมืองไทย 5 ปี โดยทุกๆ 1 ปี ก็ให้ไปขออยู่ต่อที่สำนักตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เรียกว่า ได้อยู่กันแบบยาวๆ กันเลยทีเดียว
แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่ว่าโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” ที่ว่านี้มีค่าธรรมเนียมสมาชิก 5 แสนบาท (รวม VAT) เงินจำนวนนี้ดูเหมือนว่า ทางไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ดจะให้ทางผู้ประกอบการอสังหาฯเป็นคนจ่ายเงินในส่วนนี้แทนลูกค้าชาวต่างชาติ
ขณะที่ผู้ประกอบการกลับมองว่า นี่อาจจะไม่ใช่มาตรการกระตุ้นอสังหาฯผ่านบัตรอีลิท แต่เป็นการขายบัตรอีลิทพ่วงอสังหาฯซะมากกว่า ถ้าเล่นแบบนี้มาตรการกระตุ้นคงไม่สำเร็จแน่นอน
บ้างก็ว่า เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ และมีอีกหลายความเห็น เช่น ควรจะให้ระยะเวลาอยู่ในประเทศนานกว่านี้ 5 ปียังไม่จูงใจ 10 ปีเลยได้มั๊ย และถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องให้ซื้อคอนโดถึง 10 ล้านหรอกไม่ต่ำกว่า 5 ล้านก็เกินพอแล้ว ฯลฯ
หากมองในมุมของประโยชน์ที่จะได้ สำหรับโปรแกรมนี้ก็น่าจะมีดีพอที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการซื้ออสังหาฯของไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะการได้อยู่ในประเทศไทยยาวถึง 5 ปี ยิ่งในช่วงเวลานี้ต่างชาติรู้เป็นอย่างดีว่าเมืองไทยมีการแพทย์ มีระบบสาธารณสุขที่ดี เหมาะแก่การฝากผีฝากไข้ มารีไทร์เมนต์ซะที่นี่ คอนโดในเมืองท่องเที่ยวที่ยังเหลืออยู่มากๆ ไม่ว่าจะเป็นพัทยา หัวหิน เชียงใหม่ จะได้ขายออก ยิ่งถ้าผู้ประกอบการหันไปจับมือสร้างพันธมิตรกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ เวลเนส หรือ เนิร์สซิ่ง โฮม เพิ่มแพ็คเกจในการดูแลสุขภาพ ก็จะน่าสนใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ก็ยังจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับกลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน เพราะต่างชาติกลุ่มนี้ต้องมีเวลาถือครองเพื่อสร้าง capital gain แถมยังได้พักอาศัยในประเทศไทย หรือจะท่องเที่ยวเข้าๆ ออกๆ ด้วยสิทธิบัตรอีลิท การ์ด ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะกับนักลงทุนจีน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ซื้อคอนโดมากที่สุดอยู่แล้ว และยังเป็นชาติที่ซื้อบัตรอีลิทมากที่สุดอีกด้วย เมื่อนำมารวมเป็นแพ็คเดียวกันก็น่าจะทำให้ขายได้ง่ายยิ่งขึ้น
สำคัญตรงที่ สิทธิ์นี้เขาต้องได้ฟรี ไม่เช่นนั้นเขาไปซื้อบัตรอีลิทจ่าย 5 แสน – 2 ล้าน จะดีกว่าซื้ออสังหาฯราคาตั้ง 10 ล้านบาทถึงจะได้สิทธิ์ และในมุมเดียวกัน อสังหาฯราคารวมกันไม่ต่ำกว่า 10 ล้านอาจจะแพงไปหน่อย ถ้าให้สิทธิ์กับการซื้อไม่ต่ำกว่าเหลือสัก 5 ล้าน แคมเปญนี่จะดูน่าสนใจยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างว่า ทางอีลิทก็คงอยากจะสกรีนคนที่จะได้สิทธิ์นี้ด้วยเช่นกันถึงตั้งราคาไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน
ถามว่าจ่าย 5 แสนแทนลูกค้าแพงไปหรือไม่ ก็ต้องมาดูว่า เวลานี้ขายบ้านหรือคอนโดก็ต้องจัดโปรลดแลกแจกแถมให้ลูกค้ากันอยู่แล้ว ถ้ามองว่าเงินส่วนนี้ก็คือส่วนลดให้ลูกค้า 10 ล้าน ลดอีก 5 แสน ก็คือลดให้อีก 5% กับการที่ได้ขายของออกไปก็น่าสนใจอยู่ ถ้าต้องการขยายสิทธิ์เพิ่มเป็น 10 ปี หรือ 20 ปี ก็ให้ลูกค้าจ่ายเงินส่วนต่างในการ Upgrade บัตรสมาชิกกันเอาเอง
จ่าย 5 แสนแลกกับขายคอนโดได้ 10 ล้าน แลกกับการปล่อยสินค้าค้างสต๊อกสุดท้ายก็ต้องมาหั่นราคาหนีภาระดอกเบี้ย ภาระภาษี ไม่ดีกว่าหรือครับ