เป็นเวลาเกือบ 1 ปีที่ไวรัสโควิด-19 ได้ระบาดไปทั่วโลกส่งผลกระทบมากมายต่อการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมาก่อนหน้าที่โควิด-19 จะระบาดจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวในมิติต่างๆ มองหากลยุทธ์เพื่อให้สามารถก้าวเดินต่อไป
สำหรับการพัฒนาโครงการต่างๆ สิ่งที่เป็นต้นทุนหลักและเป็นตัวแปรสำคัญก็คือ ที่ดิน และ ทำเล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลต่อการเลือกซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งฝ่ายวิจัย บริษัท บริษัท เซ็นจูรี่ 21 ประทศไทย จำกัด ได้สำรวจความต้องการที่ดินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า ทำเลที่ดินที่มีความต้องการซื้อเพื่อการพัฒนาคอนโดมิเนียมมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1.ทำเลย่านรัชดา ห้วยขวาง และลาดพร้าวตอนต้น โดยย่านนี้ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในซอยระยะห่างจากระบบขนส่งสาธารณะ สามารถเดินได้ 200-500 เมตร อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียม Low Rise ได้ ปัจจุบันที่ดินในทำเลรัชดา ห้วยขวาง และลาดพร้าวตอนต้น มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000-350,000 บาทต่อตารางวา
2.ทำเลย่านพหลโยธิน (ห้าแยกลาดพร้าว – แยกรัชโยธิน) ทำเลนี้มีความต้องการซื้อเพื่อนำไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม เนื่องจากบริเวณนี้ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งย่านพหลโยธินยังเป็นจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีเหลืองที่เป็นส่วนต่อขยาย ทำให้ที่ดินในบริเวณนี้ มีความต้องการในการนำไปพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันราคาที่ดินในช่วง ห้าแยกลาดพร้าวจนถึงแยกรัชโยธิน อยู่ที่ 700,000 -1,400,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งราคาในบางช่วงของโซนนี้ อาจจะแพงหรือถูกกว่านี้ก็เป็นได้
3.ทำเลย่านเจริญนคร โซนนี้แวดล้อมไปด้วยโรงแรมหรูมากมาย รวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง ICONSIAM และเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งเป็นสายที่จะวิ่งเข้ามาถึงเจริญนครช่วงต้น ส่วนใหญ่ที่ดินโซนนี้จะถูกนำไปพัฒนาเพื่อทำเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมตั้งแต่ระดับกลางจนถึงระดับสูง ปัจจุบัน ที่ดินในโซนนี้ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400,000-800,000 บาทต่อตารางวา และราคาอาจจะแตะอยู่ในช่วง 800,000-1,000,000 บาทต่อตารางวา หากเป็นบริเวณใกล้เคียง ICONSAIM
ส่วนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นโปรดักส์ที่สำคัญในช่วงที่อัตราการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง ประกอบกับ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการในตลาดของที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮาส์ ก็มีอัตราสูงขึ้น สำหรับทำเลที่ดินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
1.ทำเลฝั่งตะวันออกของวงแหวนกาญจนาภิเษก – เมกาบางนา สำหรับในโซนนี้มีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาพัฒนาที่ดินเป็นโครงการบ้านเดี่ยวค่อนข้างสูง เนื่องจากอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ มีทางเชื่อมเพื่อเดินทางไปจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้กระทั่งเข้าเมือง ก็ยังคงสะดวกต่อการเดินทาง โดยราคาที่ดินในย่านนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 -100,000 บาทต่อตารางวา
2.ทำเลพระรามเก้า-มอเตอร์เวย์ เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ใกล้เมือง และมีการพัฒนารวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ หรือเข้าเมือง ทำให้เป็นอีกหนึ่งทำเลที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกไปพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ โดยราคาที่ดินเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 90,000 -120,000 บาทต่อตารางวา
3.ทำเลฝั่งตะวันตก ราชพฤกษ์ตอนต้น เป็นอีกทำเลที่มีความต้องการหาซื้อที่ดินเข้ามามาก แม้ว่าราคาในปัจจุบันจะปรับเพิ่มขึ้นสูงมากก็ตาม หากแต่ยังคงเป็นบริเวณที่ใกล้กับย่านสาทร จึงทำให้ยังมีความต้องการหาซื้อที่ดินเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโครงการแนวราบในระดับกลางถึงระดับสูง โดยปัจจุบัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 -150,000 บาทต่อตารางวา
ขณะที่นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 ประเทศไทย จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า บริษัทพัฒนาโครงการเริ่มกลับมาซื้อที่ดินอีกครั้ง แต่ต้องได้ราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ แต่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม High Rise ซึ่งยังคงมีสต็อกค้างอยู่พอสมควร ผู้พัฒนาโครงการจึงเน้นการหาที่ดิน เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม Low Rise ที่ต้นทุนในการพัฒนาไม่สูงมากนัก และยังพอมีฐานลูกค้าอยู่
อย่างไรก็ตาม บางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการซื้อที่ดิน โดยการชะลอการซื้อ และกลับไปพิจารณาที่ดินเดิมที่มีอยู่ในมือว่าสามารถนำมาพัฒนาก่อนแทนการซื้อใหม่ได้หรือไม่
“คาดว่า ทำเลที่นิยมในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ได้เกริ่นไปในตอนต้น จะยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และยังมีทำเลที่มีความต้องการซื้อเพิ่มเติมที่จะเข้ามาในปีหน้าอีก 1-2 ทำเล ได้แก่ ที่ดินโซนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และ โซนพุทธสาคร ซึ่งเป็นโซนที่เชื่อมต่อมาจากพุทธมณฑลสาย 4 เนื่องจากทั้ง 2 ทำเลดังกล่าวได้มีการขยายถนนโครงข่ายเชื่อมโยงทำเลต่างๆ ทำให้การเดินทางสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นในอนาคต ส่วนแนวโน้มการซื้อขายในปีหน้าอาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก รวมถึงราคาที่ดิน ก็ไม่น่าจะมีการปรับขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว” นายกิติศักดิ์ กล่าวปิดท้าย