fbpx
setthasiri charan pinklao2 house concept 03

Speed to Market กลยุทธ์ รับ-รุก-เร็ว สไตล์ แสนสิริ

กลยุทธ์รับเร็ว รุกเร็ว (Speed to Market) ที่แสนสิริ นำมาใช้ในภาวะวิกฤติไวรัสโควิด-19 ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ โดยใน 5 เดือนแรกของปี 2563 แสนสิริ ปั๊มยอดขายรวมได้ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 8,200 ล้านบาท ทำให้แสนสิริรุกคืบต่อด้วยการปรับเป้าการขายจาก 29,000 ล้านบาท เป็น 35,000 ล้านบาท เติบโต 67% จากยอดขายในปี 2562 ขณะที่ยอดโอนปรับจาก 33,000 ล้านบาท เป็น 39,000 ล้านบาท เติบโต 26% จากยอดโอนในปี 2562

พร้อมกับคาดหวังว่า ถ้าสามารถทำได้ตามเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ แสนสิริ อาจจะขึ้นนั่งในบัลลังก์แชมป์ในตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ก็เป็นได้ เรียกได้ว่า เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย และอาจจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงในตลาดให้เพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้

เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ ได้ให้นิยามภาวะตลาดในช่วงนี้ว่า มันคือ ภาวะสงคราม ที่ต้องใช้ความเร็วเหนือเหตุผล (speed to market) ซึ่งความรวดเร็วในทุกๆ ด้าน คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขัน โดยพร้อมที่จะยอมขาดทุนเพื่อให้ขายได้ มีสภาพคล่องกลับมา ดีกว่าวาดฝันถึงกำไร แต่ทำไม่ได้

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งแสนสิริ ได้มีการปรับตัวค่อนข่างมากในครึ่งปีแรก การทำเรื่องของ Speed to Market รวมถึงการทำกิจกรรมการตลาดหลายอย่างในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้มีการปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพตลาด จากต้นปีมีแผนเปิด 18 โครงการ ปรับเหลือ 15 โครงการ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากสภาพตลาดคอนโดยังไม่ดีจึงลดจำนวนโครงการคอนโดลง 3 โครงการ

ในครึ่งปีแรก บริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ ได้แก่ อณาสิริ ภูเก็ต สิริ เพลส ประชาอุทิศ 90 และ สิริเพลส ราชพฤกษ์-พระราม 5 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ในครึ่งปีหลังจะเปิดบ้านเดี่ยวอีก 3 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ และโครงการมิกซ์อีก 7 โครงการ ส่วนคอนโด ลดเหลือ 2 โครงการ จาก 5 โครงการ รวม 12 โครงการ มูลค่า 16,900 ล้านบาท

จากการทำธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Speed to Marketing และการผลักดันโครงการพร้อมอยู่โดยการทำโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะแคมเปญอยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือน ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันทำให้ทั้งยอดขายและยอดโอนของบริษัทเพิ่มขึ้น โดย 5 เดือนแรกมียอดขาย 22,000 ล้านบาท ยอดโอน 18,200 ล้านบาท

ขณะที่เป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ ในส่วนของยอดขาย 35,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม 17,000 ล้านบาท คิดเป็น 49% จากบ้านเดี่ยว 13,700 ล้านบาทคิดเป็น 40% จากทาวน์เฮ้าส์ และโครงการมิกซ์ โปรดักส์ 4,300 ล้านบาท คิดเป็น 11%

ส่วนเป้ายอดโอนที่ปรับใหม่รวม 39,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดโอนจากคอนโดมิเนียม 22,000 ล้านบาท คิดเป็น 56% บ้านเดี่ยว 13,500 ล้านบาทคิดเป็น 35% ทาวน์เฮ้าส์ และโครงการมิกซ์ โปรดักส์ 3,500 ล้านบาท คิดเป็น 9%

ในปีนี้หากสามารถเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย นายอุทัยมั่นใจว่า เป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี คงจะไม่ไกลเกินเอื้อม และในปีนี้แสนสิริจะขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ด้านยอดขายก็เป็นไปได้เช่นกัน

กุญแจดอกสำคัญที่ผลักดันให้ แสนสิริ ก้าวมาถึงจุดนี้ ก็คือแนวคิด MADE FOR LIFE… MADE FOR EVERYONE

เราไม่ได้ดูแค่สเปซ เราดูในเรื่องพฤติกรรมการอยู่อาศัยจะทำอย่างไรให้คนอยู่แล้วมีความสุข และขยายตลาดให้ครอบคุลมในทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในแง่ของคุณภาพ ดีไซน์ บริการ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ และที่สำคัญคือการทำการตลาดที่เข้าถึงปัญหาของผู้ซื้อ เช่น การช่วยลูกค้าผ่อน 24 เดือน ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายและเร็วขึ้น”

ขณะเดียวกัน นายอุทัยมองว่า ช่วงเวลานี้ตลาดเริ่มเปิด คนเริ่มออกมาช็อปปิ้ง จับจ่ายใช้สอย ลูกค้าเริ่มกลับเข้าไซส์ เริ่มเข้าไปดูโครงการ หาซื้อของแต่งบ้าน แต่งสวน ภาวะเศรษฐกิจเริ่มที่จะฟื้นตัว และถ้าธุรกิจเริ่มกลับมาธุรกิจอสังหาฯก็จะดีตาม

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาจากนโยบายการกระตุ้นของภาครัฐ ขณะที่ต่างชาติ มองเห็นระบบสาธารณสุขของไทยที่เยี่ยม ในอนาคตประเทศไทยจะเป็นเมืองท่องเที่ยว เพื่อการรักษา พยาบาล ซึ่งจะทำให้ต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯในไทยมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยลดลงต่ำสุด โดยดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ทำให้ธนาคารเริ่มลดงดอกเบี้ยลง ซึ่งสนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯดีขึ้น

ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด นายอุทัยฟันธงว่า บ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮมจะเป็นสินค้า ฮีโร่ ในช่วงเวลานี้ ขณะที่คอนโดจะยังมีสต๊อกอยู่มาก ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

“ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยวิเคราะห์จากดีมานด์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และจากเทรนด์อยู่อาศัยที่คนไทยต้องการมีบ้าน 2 หลัง ทั้งคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเมือง เพื่อการเดินทางทำงานที่สะดวก ขณะที่ยังมีความต้องการบ้านชานเมืองเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ยังรวมถึงการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในรูปแบบ Work From Home ที่ทำให้ดีมานด์ของบ้านแนวราบเพิ่มสูงขึ้น จากการมองหาบ้านที่มีพื้นที่กว้างขึ้น เพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการทำงานที่บ้าน

ขณะที่กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มเริ่มมองหาบ้านหลังใหญ่ที่สามารถ Social Distancing ได้ หรือต้องการแยกครอบครัวออกจากครอบครัวใหญ่เพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ยังรวมไปถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเป็นบ้านหลังแรกเพิ่มขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย นอกจากนี้ ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดต่างชาติจะกลับมา โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะมองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัยและมีระบบสาธารณสุขที่ดี บริษัทจึงมุ่งเจาะกลุ่มตลาดต่างชาติที่ต้องการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ในรูปแบบบ้านหรือทาวน์โฮมอย่างเต็มที่ ” นายอุทัยกล่าว

ด้านนายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในครึ่งปีหลัง โครงการแนวราบจะเป็น Strategic Flagship ในการรุกตลาด เราจึงได้เตรียมเปิดโครงการแนวราบ อีก 10 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ 2 โครงการ, บ้านเดี่ยวแบรนด์สราญสิริ 1 โครงการ ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ในเซกเมนต์ Medium และ Affordable ที่ได้รับการตอบรับสูง ในแบรนด์ อณาสิริ 4 โครงการ และสิริ เพลส 3 โครงการ

ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจโครงการแนวราบด้วยการยกระดับแนวคิด ปรับและเปลี่ยนด้วยการปฎิวัติ 5 ด้าน ภายใต้ชื่อ “Sansiri Housing Evolution” บ้านมาตรฐานใหม่ที่เข้าใจและเข้าถึงทุกคน ประกอบด้วย

  • Brand & Product ที่รองรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ในทุกเซ็กเมนต์ ทุกระดับราคา
  • Design การปรับดีไซน์แบบบ้าน ตลอดจนปรับพื้นที่การใช้งานให้เป็นพื้นที่ Multi-Function สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น รองรับการใช้งานของสมาชิกในบ้านทุกเพศทุกวัยได้อย่างหลากหลาย
  • Service Intelligent การบริการหลังการขายที่ครอบคลุม
  • Green Living สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการส่งเสริมให้ลูกบ้านสร้างพื้นที่สีเขียว รวมไปถึงการนำเสนอการใช้พลังงานทดแทนเพื่ออนาคตด้วย Green Energy
  • Security System LIV-24 เทคโนโลยีด้านการดูแลความปลอดภัยและจัดการระบบวิศวกรรมเต็มรูปแบบที่สามารถดูแลความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง