ปี 2563 เพิ่งเปิดทำการได้แค่ครึ่งเดือน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มขยับเขยื้อนลงทุนเปิดโครงการใหม่ๆ กันบ้างแล้ว และเป็นที่สังเกตว่า โครงการเท่าที่ประกาศเปิดตัวกันออกมานั้น เป็นคอนโดมิเนียมอย่างน้อยๆ 3 โครงการ ถือเป็นการเปิดตัวในสภาวะที่ตลาดคอนโดกำลังดำดิ่งติดลบสูงถึง 20-30% และคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกพักใหญ่
ที่สำคัญแต่ละโครงการล้วนมีแบ็คอัพเป็นทุนต่างชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “นิช โมโน อิสรภาพ” ของ เสนา ฮันคิว ฮันชิน โครงการ “RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน” ของกลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ ล่าสุด โครงการ “เดอะ เซนโทร คอนโด” ของบริษัทเวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนไทย-สิงคโปร์
เหตุใดโครงการเหล่านี้ถึงพร้อมจะลุยไฟ?
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด ออสติน ตัน มองว่า ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่มีอัตราการเติบโตมาตลอดในระยะ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างก้าวหน้าประสบความสำเร็จในฐานะประเทศที่เกิดใหม่ จากนโยบายลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทย เมื่อแล้วเสร็จจะส่งผลให้ประเทศไทยจะมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท ก็คือ ABN ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ เมื่อเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจนอกประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามเมืองใหญ่ หรือเมืองท่องเทียวของไทย จึงทำให้ตัดสินใจไม่ยากที่จะร่วมลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกันในประเทศไทย โครงการแรก เดอะ เซนโทร คอนโด บางแสน และอีกหลายๆ โครงการต่อไป
สาเหตุที่โครงการแรกของ เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง พุ่งเป้าไปที่บางแสน ก็เพราะ “บางแสนเป็นเมืองที่มีโอกาสของการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการเป็นพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) บางแสนจึงเป็นอีกหนึ่งศักยภาพทำเลที่น่าสนใจ เหมาะกับการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในอนาคต เมื่อมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น” เรย์ เฮง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง กล่าว
สำหรับโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด บางแสน มีแนวคิดการออกอาคารในแบบ Modern Nature Living ผสมผสานความทันสมัยร่วมกับธรรมชาติ เป็นคอนโดโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 304 ยูนิต พื้นที่ 2 ไร่ 82.4 ตารางวา สำหรับห้องขนาด 28 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.49 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ยราว 50,000 บาทต่อตารางเมตร
ขณะที่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัว RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ซึ่งเป็นคอนโดนำร่อง หลังจากการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ หันมาพัฒนาคอนโดฯ ที่ตอบสนองลิฟวิ่งแพทเทิร์นเฉพาะกลุ่ม โดยมีเพดานราคาไม่เกิน 1.8 แสนบาทต่อตารางเมตร ด้วยโมเดล Dynamic Personalized อินไซต์ดีมานด์จริงในแต่ละแปลงที่ดิน เป็นความต้องการเฉพาะเจาะจงในแต่ละทำเล
วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ‘Dynamic Personalized Model’ เป็นโมเดลการออกแบบและพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบและคอนเซ็ปต์ดีไซน์ตามลิฟวิ่งแพทเทิร์น (Living Pattern) รูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของผู้อยู่อาศัย โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อให้ได้ คอนซูเมอร์ อินไซต์ (Consumer Insight) ที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละโครงการ
โดยการผนวก ‘เทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่’ เข้ากับ ‘กระบวนการคิดเชิงออกแบบ’ ทำให้เราสามารถส่งมอบผลลัพธ์การพัฒนาคอนโดยุคใหม่ ภายใต้ 3 คีย์สำคัญ
- เข้าใจ (Understand) – ต้องมองลูกค้าให้ชัด ศึกษาให้ลึกแบบเจาะจง เพื่อทราบว่าลูกค้าคือใครและมีรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างไร ที่จะนำมาสู่การพัฒนาคอนโดที่
- โดนใจ (Suit) – ตอบโจทย์มากกว่าแค่ฟังก์ชั่น แต่ตอบโจทย์ทั้งคาแรคเตอร์และไลฟ์สไตล์ เสมือนว่าทุกตารางนิ้วถูกสั่งทำพิเศษเฉพาะคน ซึ่งจะนำไปสู่
- ความมั่นใจ (Trust) ที่ลูกค้ามีต่อองค์กรว่าจะสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามที่สัญญาไว้
“หมดเวลาการทำงานแบบเหมารวมเป็นโลเคชั่น แต่ต้องเจาะให้ลึกถึงดีมานด์จริงของที่ดินแต่ละแปลงแต่ละผืน ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เราได้เตรียมความพร้อมในการทำความเข้าใจถึงลิฟวิ่งแพทเทิร์นที่แตกต่างกันของคนในอนาคต เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ใช่สำหรับคนในแต่ละกลุ่ม” นายวิทการ กล่าวเสริม
สำหรับ RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรี ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างเอพีและพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ มีมูลค่าโครงการ 4,700 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 4-2-76.6 ไร่ บนถนน ‘เจริญกรุง’ เพียง 100 เมตรจากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ-ริเวอร์ไซด์ แคมปัส ซึ่งจากการศึกษาเรียลดีมานด์เฉพาะทำเล โครงการดังกล่าวจะจับกลุ่มลูกค้า 2 กลุ่มคือ รองรับการอยู่อาศัยที่เป็นครอบครัวควบคู่ไปกับการบาลานซ์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มคนโสด
RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ประกอบด้วยคอนโดสูง 44 ชั้น 1 อาคาร และอาคารพาวิลเลี่ยน 1 อาคาร จำนวน 421 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอย ได้แก่ 1) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 35 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอนพร้อม 1 ห้องอเนกประสงค์ ขนาด 43.5 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 75.5 – 128.5 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 134-159 ตารางเมตร 5) ห้องชุด 4 ห้องนอน ขนาด 184-228 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 155,000 บาท/ตารางเมตร
มาถึง บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งลอนช์คอนโด “นิช โมโน อิสรภาพ” ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนล่าสุดในนาม เสนา ฮันคิว ฮันชิน ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัทร่วมทุนระหว่าง เสนา ฮันคิว ฮันชิน มองว่า จากปัจจัยสนับสนุนแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง – หลักสอง ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบครบทุกสถานีนั้น ทำให้การเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางธุรกิจง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะ “บริเวณถนนอิสรภาพ” (สถานีอิสรภาพ) เป็นทำเลใหม่ที่มีโอกาสพัฒนาสูง เพราะเชื่อมต่อไปยังย่านอื่นๆ ได้ เช่น โซนปิ่นเกล้า วงเวียนใหญ่ หรือเจริญนคร คาดว่าทำเลนี้เป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองในอนาคตเพราะจะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมขึ้นอีกจำนวนมาก ในระดับราคาที่คนซื้อหลักสามารถจับต้องได้เฉลี่ย 2-5 ล้านบาท (7.5 หมื่น-1.1 แสนบาท/ตร.ม.) ซึ่งเป็นตลาดหลักของคนซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง
สำหรับ นิช โมโน อิสรภาพ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น ตั้งอยู่ติดถนนอิสรภาพ ซอย 25 เนื้อที่ 2 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 815 ล้านบาท อยู่ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีอิสรภาพ เพียง 200 เมตร แบ่งเป็นห้องพักอาศัย แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27.50 – 33 ตร.ม. , แบบ 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 35.50 – 36.50 ตร.ม. และ แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 50 ตร.ม. จำนวนรวม 259 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.49 ล้านบาท
พอจะสรุปได้ว่า แต่ละโครงการที่หาญกล้าลุยตลาดคอนโดปี 2563 ล้วน มีของ มีสายป่านฐานทุนที่แข็งแรงจากต่างชาติ และมองเห็นเรียลดีมานด์ที่อยู่ในแต่ละทำเลทั้งทำเลใหม่ๆ ที่เกิดจากการลงทุนด้านสาธารณูปโภคของภาครัฐ และทำเลเก่าที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายลดน้อยลงไปมากๆ และที่สำคัญต้องพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงในแต่ละพื้นที่มากยิ่งขึ้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มากตามไปด้วย