ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกรายที่เอาจริงเอาจังกับการนำเทคโนโลยีมาสร้างความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการ ผ่าน Technology ด้านต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก สตาร์ทอัพทั่วทุกมุมโลก ซึ่งวันนี้เริ่มจะมองเห็นภาพที่เป็นรูปธรรม ตอกย้ำชัดเจนว่า บริษัท แสนสิริ ไม่ได้แค่มาวิ่งเล่น หรือสร้างภาพให้ดูดีกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด ถูกตั้งขึ้นเมื่อต้นปี 2561 เพื่อตามหาเหล่าสตาร์อัพที่สามารถประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขในการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านแสนสิริได้ โดย สิริ เวนเจอร์ส จะเข้าไปลงทุน เพื่อสนับสนุนให้สตาร์ตอัพที่ดูดีมีหน่วยก้านสามารถ Implement นวัตกรรม ออกมาใช้งานได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
เทรนด์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป
ก่อนจะไปดูว่าวันนี้ สิริ เวนเจอร์ มีอะไรที่สามารถเอามาโชว์ได้แล้วบ้าง อยากให้ จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี มองถึงความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี่ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นให้ฟังก่อนแล้วจะรู้ว่า โลกในวินาทีข้างหน้าเปลี่ยนไปไวกว่าที่คุณคิด
จิรพัฒน์ มองว่า เทรนด์ของการอยู่อาศัยเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อผู้บริโภคเริ่มไม่สนใจกับเรื่องของการครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ แต่สนใจประสบการณ์ที่ได้รับมากกว่า สังเกตง่ายๆ เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมมีรถส่วนตัว หันไปใช้ อูเบอร์ หรือแกรบ อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เดินทางได้สะดวกขึ้น
เรื่องของที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน เราเริ่มเห็นเทรนด์ของการอยู่อาศัยร่วมกัน ซึ่งในเมืองไทยอาจจะยังเห็นไม่ชัดแต่ในต่างประเทศ อย่างสหรัฐ ฮ่องกง เริ่มเห็นแล้วว่า คนยินดีที่จะเปลี่ยนการอยู่ศัยจาก 90% ที่อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว และ 10% อยู่ในพื้นที่ส่วนรวม เริ่มลดการอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวจาก 90% ลงมาเรื่อยๆ
คนเริ่มมีความคิดว่า ไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวมากเหมือนสมัยก่อนแล้ว ในเมื่อพื้นที่ส่วนรวมมีอินเทอร์เน็ตที่เร็วกว่า มีอุปกรณ์ทำครัวที่ดีกว่า มีโฮมเธียเตอร์ที่จอใหญ่กว่าเสียงดีกว่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาฯก็ต้องมองว่า ต่อไปจะต้องพัฒนาพื้นที่ส่วนรวมให้มากขึ้นหรือเปล่า มีเทคโนโลยีอะไรที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายเมื่อมาอยู่ร่วมกัน
สำหรับสิ่งที่จะเข้ามา disrupt ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีอยู่ 3 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามาทำให้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในโครงการมีความสะดวกสบาย และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งสตาร์ตอัพที่เรามองหาทั่วโลกจะช่วยเข้ามาตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เหล่านี้
เรื่องต่อมาคือ Transportation Disruption จากการใช้รถอัตโนมัติ วันนี้เราจะทำให้ลูกบ้านเชื่อก่อนว่า First Mile and Last Mile Transportation มีความปลอดภัย หลังจากที่ลูกบ้านเชื่อมั่นแล้ว รถไร้คนขับก็จะออกไปวิ่งรับส่งนอกโครงการ ซึ่งจะเป็นการ Disrupt ในด้านการขนส่ง
เมื่อต่อไปเราจะมีรถไร้คนขับที่สามารถวิ่งได้จริงบนท้องถนน มีโดรนที่สามารถส่งของต่างๆ ให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการได้ สุดท้ายจะเกิด Property Disruption สิ่งที่วงการอสังหาจะต้องจับตาก็คือเรื่องของราคาที่เกี่ยวข้องกับทำเลจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แล้วผู้บริโภคจะมองราคาที่เกี่ยวข้องกับทำเลต่างไปจากวันนี้หรือไม่
นั่นคือภาพที่ได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป้นผลจากเทคโนโลยี่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ซึ่งแสนสิริได้ปรับตัวผ่านจุดสตาร์ตของการเปลี่ยนนั้นมาแล้วและกำลังจะก้าวสู่สเตปต่อไป
ลุยต่อ ทุ่ม 600 ล. หนุนสตาร์ทอัพ 4 ด้าน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 การดำเนินงานของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จและมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายด้าน สำหรับในด้านการลงทุน (Investment) สตาร์ทอัพหลายรายที่บริษัทเข้าไปลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาทิ
- Semtive สตาร์ทอัพผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ได้เริ่มทยอยส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนมาให้กับบริษัทแล้ว
- Neuron สตาร์ทอัพ e-Scooter สัญชาติสิงคโปร์ เริ่มมีให้บริการแล้ว ในโครงการดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่
- OnionShack ได้พัฒนา “น้องแสนรู้” หุ่นยนต์พนักงานคนใหม่ของแสนสิริที่จะช่วยเข้ามาตอบเรื่องนวัตกรรมที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน
ส่วนครึ่งปีหลังของปี 2562 บริษัทยังมีแผนจะลงทุนในสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่
1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) ในสัดส่วน 20% ของงบลงทุน มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC)
2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ
3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ในสัดส่วน 20% มุ่งเน้นด้านรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่และ Tokenization
4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech & HealthTech) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพหลายรายที่ผ่านการพิจารณามาถึงขั้นทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept)
นอกจากนี้ หลังจากได้จัดพื้นที่เฉพาะสำหรับทดสอบ พัฒนา และประมวลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยภายใต้ชื่อ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ทดลองใช้รถไร้คนขับ-โดรนส่งของ
ล่าสุดบริษัทได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ 3 สตาร์ทอัพศักยภาพ เพื่อเข้าร่วมพัฒนาและทดลองใช้นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในช่วงครึ่งปีหลัง ภายในพื้นที่ SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox ที่โครงการ T77
สำหรับนวัตกรรมที่จะเข้ามาพัฒนาและทดลองใช้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่
1.รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ภายใต้ความร่วมมือกับ AIROVR สตาร์ทอัพผู้พัฒนาระบบสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติไทย และ สวทช. โดย AIROVR จะพัฒนาระบบที่จำเป็นสำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ” ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า (First Mile Transportation) และการขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการที่อยู่อาศัย (Last Mile Transportation)
ขณะที่ สวทช. จะช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่จำเป็น ได้แก่ ระบบ Drive-by-Wire การบูรณาการเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และแผนที่ 3D ความละเอียดสูง เพื่อให้สามารถวิ่งได้จริงในโครงการ T77
เรื่องการขนส่ง First Mile and Last Mile Transportation เป็นเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นจริงแล้วในต่างประเทศ เรามองเห็นโอกาสที่จะร่วมส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงในไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต เริ่มต้นจากการนำร่องทดลองวิ่งเฉพาะภายในโครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งถือเป็นการทดลองวิ่งรถยนต์ไร้คนขับเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในไทย
2.โดรน เดลิเวอรี่ (Drone Delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนสัญชาติไทย โดย Fling จะนำโดรนมาใช้ทดลองส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยังคอนโดมิเนียมของแสนสิริในพื้นที่โครงการ T77 คาดว่าจะเริ่มทดลองได้ หลังจากผ่านขั้นตอนการขออนุญาตหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด และ AIROVR ในวันนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำเทคโนโลยีที่ สวทช. วิจัยและพัฒนา มาสาธิตการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อประโยชน์แก่ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน อีกทั้งการจัดทำ 3D Mapping ของโครงการ T77 สามารถนำไปเชื่อมโยงกับ “รถยนต์ไร้คนขับ” ของ AIROVR และ “โดรน เดลิเวอรี่” ของ Fling เพื่อนำไปใช้ในโครงการนำร่องได้อย่างเป็นรูปธรรม
3.การดูแลรักษาความปลอดภัย (Security) ภายใต้ความร่วมมือกับ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเทคโนโลยีเรียนรู้เสียงต่างๆ เพื่ออาคารอัจฉริยะ (Smart Building) รายแรกของโลก โดยจะเริ่มทดลองในพื้นที่โครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการทดลองใช้ระบบของ SoundEye ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยอีกด้วย
“หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้จริงในอนาคต เราอาจเห็นรถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงโดรนที่เป็น Air Taxi เข้ามา Disrupt เทรนด์การใช้ชีวิต (Living Trends) ให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจุดประกายแนวทางการยกระดับวงการขนส่งไทย ขณะเดียวกัน ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เพราะการเดินทางของผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้น จนทำเลไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเลือกที่อยู่อาศัย ดังนั้น การเป็นพันธมิตรระหว่าง สิริ เวนเจอร์ส สวทช. และสตาร์ทอัพทั้ง 3 ด้านในครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญ” จิรพัฒน์ ย้ำ