Stagflation, economic slow down or recession while inflation high up, GDP growth decrease causing by unemployment concept, fearful businessman riding fall down economic graph with inflation high up

TDRI ประเมินผลบวก-ลบ ภาษีทรัมป์ กระทบเศรษฐกิจโลก-ไทย มากแค่ไหน?

ดร. กิริฎา เภาพิจิตร อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariffs) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้

มาดูกันว่าเศรษฐกิจไทยของเรากำลังเผชิญกับ “พายุ” แบบไหน และเราจะรับมือกับมันอย่างไร ซึ่งครั้งนี้ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ “วิกฤต” ที่ดิ่งเหวลงไปเหมือนต้มยำกุ้งหรือโควิด-19 แต่จะเป็นเหมือน “หนังชีวิต” ที่เศรษฐกิจจะเติบโตแบบ “ซึมยาว” คือโตช้าๆ แต่นานๆ และไม่ใช่แค่เรื่องของประเทศไทย แต่เป็นเรื่องของโลก ที่กำลังถูกเปลี่ยนแปลงโดยคุณทรัมป์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นแบบเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย ไม่ใช่ชั่วคราว เพราะการโยกย้ายการลงทุนครั้งหนึ่งมันมีต้นทุนสูงมาก และย้ายแล้วก็จะอยู่กันไปยาวอีกเป็น 10-20 ปี

ดร กิริฎา เภาพิจิตร TDRI

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก: ความไม่แน่นอนและสงครามการค้า
ก่อนที่เราจะไปดูเศรษฐกิจไทย เราต้องเข้าใจเศรษฐกิจโลกก่อน เพราะประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่เล็กมาก เพียงแค่ 0.5% ของเศรษฐกิจโลก และเราก็เป็นประเทศที่เปิดมาก พึ่งพาการส่งออก การนำเข้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้นอะไรที่กระทบเศรษฐกิจโลก ย่อมกระทบเราแน่นอน

ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นชัดเจนคือคุณทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกือบทุกประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าด้วย ซึ่งมีอยู่หลายประเภท

  • ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs): สหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีสินค้าจากไทยเพิ่ม 19% จากเดิมที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1% ทำให้รวมแล้วสินค้าส่วนใหญ่ของเราโดนไป 20%
  • ภาษีเฉพาะสินค้า: สินค้าบางประเภทโดนหนักกว่า เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง โดนเพิ่ม 50% ส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนโดนเพิ่ม 25%
  • ยกเลิก De Minimis: สหรัฐยังได้ยกเลิกกฎ De Minimis ที่เคยยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่า 800 เหรียญสหรัฐ หรือน้อยกว่า ทำให้ทุกการนำเข้าต้องเสียภาษีหมด ไม่ว่าจะมูลค่าเท่าไร
  • ภาษี Transshipment : ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษี Transshipment อีก 40% ที่อาจจะโดนเพิ่ม ซึ่งจะรวมถึงสินค้าที่เรานำวัตถุดิบจากจีนมาแปะ Made in Thailand หรืออาจจะรวมถึงเรื่อง Local Content ที่ถ้ากำหนดให้มีสัดส่วนสูงมากๆ เช่น 60-70% สินค้าอย่างอิเล็กทรอนิกส์ของเราอาจจะได้รับผลกระทบหนัก เพราะ Local Content ของเราอยู่ที่ประมาณ 50%

สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยสหรัฐยังคงเก็บภาษีจีนสูงกว่าประเทศอื่น (ปัจจุบันอยู่ที่ 30-55%) และจีนก็ตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดย IMF คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงจาก 3.3% ในปี 2024 เหลือ 3.0% ในปี 2025 ตลาดหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น ก็ล้วนชะลอตัวลงหมด

TDRI ภาษีทรัมป์
TDRI ภาษีทรัมป์

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ในเมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลาดส่งออกหลักของเราก็โตช้าลง ทำให้การส่งออกของไทยโดยรวมจะเติบโตได้ไม่มาก อย่างมากก็ 3-4% ต่อปี แม้ว่าครึ่งแรกของปี 2568 การส่งออกไทยจะเติบโตสูงถึง 14% เป็นผลจากการเร่งส่งออกก่อนภาษีคุณทรัมป์จะมีผล แต่ครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงมาก ทำให้ทั้งปี 2568 อาจโตได้แค่1%

อย่างไรก็ตาม ยังมี “แสงสว่างเล็กๆ” ในการส่งออกของเรา เมื่อดู 10 อันดับแรกสินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐจะพบว่า ภาษีที่เราโดนนั้นยังต่ำกว่าคู่แข่งหลักๆ ของเราแทบทุกรายการ ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทยไปสหรัฐ เราโดนภาษี 19% ในขณะที่คู่แข่งอย่างจีน เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย โดนสูงกว่า โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (80% ของ 20 อันดับแรกสินค้าส่งออกของเราไปสหรัฐ) มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐสูงถึง 45% นี่คือโอกาสของเราที่จะแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้บ้าง เพราะราคาของเราน่าจะถูกกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะสามารถแย่งส่วนแบ่งมาได้มาก แต่สถานการณ์โดยรวมทั่วโลกกำลังซื้อน่าจะลดลง เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจากทั่วโลกเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 2% เพิ่มเป็นเฉลี่ยที่ 15% เราสินค้าจะแพงขึ้นการบริโภคก็จะลดลง ทำให้ส่งออกของเราจะโตได้ไม่มากนักจากนี้เป็นต้นไป

ส่วนด้านการนำเข้าน่าจะเร่งตัวขึ้น เป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนอุปกรณ์และเครื่องจักร เพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้อุตสาหกรรมในประเทศบางกลุ่มที่ผลิตสินค้าเดียวกันกับจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วง และต้องปรับตัว เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี สิ่งทอ พลาสติก หรือบางประเทศอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ก็อาจจะหันมาส่งออกเหล็กราคาถูกมาไทยมากขึ้น เพราะโดนภาษีสหรัฐสูงถึง 50% ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

TDRI ภาษีทรัมป์

“แสงสว่าง” ที่แท้จริงคือ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” (FDI)

  • ด้วยสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่แตกเป็นกลุ่มๆ การลงทุนกำลังโยกย้ายไปยังประเทศที่เป็นมิตร และประเทศไทยซึ่งพยายามวางตัวเป็นกลางจึงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ
  • เราเห็นสัญญาณชัดเจนว่า FDI ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดย BOI อนุมัติการลงทุนในปี 2566-2567 สูงเป็นประวัติการณ์ และครึ่งแรกของปี 2568 ก็เพิ่มขึ้นถึง 75% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนที่อนุมัติทั้งหมด (รวมบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ด้วย) ตามมาด้วยญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐ และยุโรป
  • อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก คือ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ (โดยเฉพาะ EV ที่ผลิตเพื่อตลาดไทยและอาเซียน) และ Data Center
  • การลงทุนเหล่านี้จะเป็น “คลื่นลูกแรก” ที่สร้างความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและคลังสินค้าอย่างมหาศาล และ “คลื่นลูกที่สอง” ก็คือความต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับพนักงาน ที่จะตามมา แม้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะใช้แรงงานน้อยกว่าสมัยก่อน แต่ก็ยังต้องการบุคลากรจำนวนมาก
  • การลงทุนของคนไทยเองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะใน High Value Service และ Food & Biotechnology เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช หรือไบโอพลาสติก ซึ่งไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าจีนในตลาดโลกในสินค้าที่ต้องบริโภคหรือใช้กับร่างกาย
TDRI ภาษีทรัมป์

ตัวแปรเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ

  • ราคาน้ำมัน: มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นและการสะสมสต็อก ซึ่งเป็นผลดีต่อไทยในฐานะผู้นำเข้าน้ำมัน
  • เงินเฟ้อ: ไม่ใช่ประเด็นปัญหาสำหรับไทย คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% ทั้งในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากราคาสินค้าพลังงานลดลงและเศรษฐกิจชะลอตัว
  • อัตราดอกเบี้ย: แนวโน้มลดลงตามเงินเฟ้อ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้งนับตั้งแต่ปลายปี 2567 จนถึงล่าสุดมาอยู่ที่ 1.50% ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน มองว่าน่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ และอาจจะเหลือ 1% ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อประคองเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงและหนี้สินครัวเรือนที่สูง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ก็จะปรับลดลงตาม
  • ค่าเงินบาท: คาดว่าจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (ประมาณ 33.50-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากรายได้จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่ามากนัก เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐเองก็มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเช่นกัน
TDRI ภาษีทรัมป์

เศรษฐกิจไทยและการฟื้นตัวแบบ K-Shaped
ภาพรวมการบริโภคภาคครัวเรือนยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะจากภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และรายได้ภาคเกษตรที่ลดลงเนื่องจากราคาผลผลิตตกต่ำ แม้การขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ภาพรวมกำลังซื้อยังโตได้ช้ามาก (1-2% ในปีนี้)

หนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัญหา โดยอยู่ที่ระดับเกือบๆ 90% ของ GDP เราเห็นสัญญาณว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงในไตรมาส 1 ปี 2568 และธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมถึงสินเชื่อธุรกิจและ SME ก็หดตัวด้วย

TDRI ภาษีทรัมป์

ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติ: คาดว่าปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงกว่าปี 2567 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง
  • การท่องเที่ยวในประเทศ: เป็นข่าวดีที่เราเห็นการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยที่เกินระดับก่อนโควิดไปแล้ว ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ แต่การท่องเที่ยวในประเทศคิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของรายได้รวมจากการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงทดแทนส่วนที่หายไปจากต่างชาติได้ไม่มาก

บทบาทการลงทุนภาครัฐ

  • การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุน ยังคงล่าช้ากว่าค่าเฉลี่ยปกติ
  • แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและการคมนาคม แต่ปี 2569 งบประมาณภาครัฐ (ไม่รวมหนี้) กลับลดลงจากปี 2568 ทำให้บทบาทของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีจำกัด
TDRI ภาษีทรัมป์

การฟื้นตัวแบบ K-Shaped: เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเติบโตแบบชะลอตัว ประมาณ 2% ในปี 2568 และ 1.7-1.8% ในปี 2569 การฟื้นตัวของเราจะเป็นแบบ “K-Shaped”

  • ขาบนของ K (กลุ่มที่ฟื้นตัวดีกว่าก่อนโควิด และยังเติบโตได้ดี):
    ◦ การผลิตอาหาร
    ◦ ภาคบริการต่างๆ เช่น Wellness, Entertainment, Hospitality ที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าจีน
    ◦ กิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ (โดยภาพรวมซึ่งรวมถึงคลังสินค้าและนิคมอุตสาหกรรม)
    ◦ Biotechnology (เช่น อาหารสุขภาพ, คอสเมติก, ไบโอพลาสติก) ที่บริษัทไทยเก่งและดึงดูดการลงทุนจากยุโรปได้มาก
  • ขาล่างของ K (กลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หรือยังซบเซา):
    ◦ กลุ่มที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด แต่ดีกว่าปีที่แล้ว: เช่น ยานยนต์ (รวมถึง EV) และการขนส่ง
    ◦ กลุ่มที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด และยังแย่กว่าปีที่แล้ว: ภาคก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่จ้างงานจำนวนมาก (มากกว่า 1 ล้านคน) ยังคงซบเซา นอกจากนี้ยังมีปิโตรเคมี สิ่งทอ พลาสติก ที่ได้รับผลกระทบหนักจากการแข่งขันกับจีน
TDRI ภาษีทรัมป์

สุดท้ายนี้ ในทุกความมืดมิดย่อมมีแสงสว่างแอบอยู่เสมอ แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงมากมายจากสงครามการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งต่างๆ แต่ประเทศไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากการที่เราเป็นมิตรกับทุกฝ่าย ทำให้มีการโยกย้ายฐานการผลิตมายังไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากไต้หวัน ขอให้เราโฟกัสไปที่โอกาสในภาคส่วนที่เรามีศักยภาพในการแข่งขันสูง เช่น บริการ อาหาร และอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปให้ได้