เมื่อบ้านจัดสรรไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยได้ทั้งในด้านของ “ทำเล” แบบบ้าน และพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ก็คงต้องถึงเวลาที่คุณเริ่มมองหาทางเลือกในการ “สร้างบ้านเอง” แล้วควรจ้างผู้รับเหมารายย่อย หรือหันไปใช้บริการ “บริษัทรับสร้างบ้าน” ซึ่งทางเลือกที่สองดูจะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าในระยะยาว เพราะการมีพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจได้ในการสร้างบ้าน ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงเรื่องงานทิ้งกลางทาง หรือคุณภาพไม่ตรงตามแบบเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลา ควบคุมงบประมาณ และได้บ้านที่ตรงใจคุณจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน มีหลากหลายด้านที่ไม่ควรมองข้าม เรื่องนี้ คุณอนันตก์ร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) ให้ข้อแนะนำว่า

เรื่องแรกคือ ความน่าเชื่อถือของบริษัท โดยเฉพาะในยุคที่การหลอกลวงในโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ง่าย บริษัทที่ดีควรมีสำนักงานชัดเจน สามารถตรวจสอบที่ตั้งได้จริง มีเอกสารทางกฎหมายครบถ้วน และที่สำคัญควรมีประสบการณ์ตรงในงานก่อสร้าง หากบริษัทนั้นเป็นสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค เพราะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานหลายขั้นตอนในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก
นอกจากนี้ ผลงานที่ผ่านมา ของบริษัทก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรขอชมพอร์ตโฟลิโอของโครงการที่เสร็จแล้ว เพื่อดูคุณภาพของงานและความใส่ใจในรายละเอียด หากเป็นไปได้ การเข้าเยี่ยมชมโครงการจริงยิ่งช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่ามาตรฐานของบ้านที่ได้รับจะอยู่ในระดับใด
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ เสียงจากลูกค้าเก่า รีวิวในอินเทอร์เน็ตถือเป็นข้อมูลล้ำค่าที่บอกเล่าได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละบริษัท ลองค้นหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่งทั้งใน Google, Facebook หรือ Pantip เพื่อดูภาพรวมและประเมินระดับความพึงพอใจของลูกค้าในอดีต และอย่าลืมสังเกตว่าบริษัทมีการตอบกลับลูกค้าและจัดการข้อร้องเรียนอย่างไร เพราะการดูแลหลังการขายก็บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพได้เช่นกัน

เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการตกลงสัญญา การมีข้อตกลงที่เป็นธรรมและโปร่งใส เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ บริษัทที่เชื่อถือได้จะให้รายละเอียดทุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่งวดงานที่ต้องชำระ ราคาวัสดุที่ใช้ ระยะเวลาก่อสร้าง รวมถึงเงื่อนไขการรับประกันอย่างครบถ้วน พร้อมแนบเอกสารประกอบอย่างถูกต้องภายใต้กฎหมาย สคบ. ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น งบบานปลาย หรือการไม่ส่งมอบงานตามกำหนด
บริษัทรับสร้างบ้านที่ดี ยังควรมี บริการแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบบ้าน จัดการขออนุญาตปลูกสร้าง ประสานงานสินเชื่อกับธนาคาร ตลอดจนการดูแลหลังการส่งมอบบ้าน การมีทีมงานมืออาชีพดูแลในทุกขั้นตอนเช่นนี้ ทำให้เจ้าของบ้านสามารถโฟกัสกับการวางแผนชีวิต มากกว่าการลงไปจัดการรายละเอียดที่ยุ่งยากเอง
สุดท้าย งบประมาณไม่บานปลาย คืออีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลอย่างมากในกระบวนการสร้างบ้าน การเลือกบริษัทที่สามารถจัดการงบได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าเงินที่จ่ายไปจะได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ไม่บานปลายอย่างที่หลายคนกลัว การเสนอราคาแบบรวมทุกค่าใช้จ่าย (Lump Sum) พร้อมรายละเอียดแยกชัดเจนเกี่ยวกับวัสดุและค่าแรง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมต้นทุน
การตัดสินใจสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก และการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านก็ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ผู้ก่อสร้าง” แต่คือการเลือกพันธมิตรที่จะร่วมเดินทางกับคุณตลอดกระบวนการสร้างบ้าน

“สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้สภาพเศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ตลาดบริษัทรับสร้างบ้าน กลับยังแข็งแกร่ง คนที่สร้างบ้านคือเรียลดีมานด์ ที่มีความพร้อมด้านการเงิน และต้องการมีบ้านจริงๆ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ความต้องการเหล่านี้ก็ยังมีอยู่เสมอ”
คุณอนันตก์รกล่าวถึงตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบันและยังขยายความถึงปัจจัยที่ทำให้ดีมานด์ยังคงสูง แม้เศรษฐกิจจะผันผวน เป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคมีความพร้อมทางการเงิน ความต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ใช่เพื่อการลงทุน บ้านหลายหลังไม่ต้องพึ่งพาสินเชื่อ ทำให้ไม่ถูกกระทบจากดอกเบี้ย ธุรกิจรับสร้างบ้านจึงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงจากความต้องการแท้จริงผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินและต้องการบ้านคุณภาพ
“คนที่สร้างบ้านเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการมีบ้านจริงๆ มีความพร้อมด้านเงิน มีวิสัยทัศน์ระยะยาว และมองเห็นคุณค่าในความเป็น “บ้านของตนเอง” ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร แต่คือพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ความเข้าใจเรื่องคุณภาพของวัสดุ มาตรฐานการก่อสร้าง และความสำคัญของบริการหลังการขาย จึงกลายเป็นปัจจัยที่ลูกค้ายุคใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหน ยังไงลูกค้าในกลุ่มนี้ก็ต้องสร้างบ้านอย่างแน่นอน ”
ความต้องการสร้างบ้านใหม่ในปัจจุบันไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แม้จะเผชิญกับแรงกดดันด้านเศรษฐกิจ สถิติการยื่นขออนุญาตปลูกสร้างบ้านทั่วประเทศยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง คิดเป็นมูลค่า 2-2.6 แสนล้านบาทต่อปี ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นอาจส่งผลกับตลาดบางเซ็กเมนต์ เช่น บ้านราคาสูงระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไปที่อาจเลื่อนการตัดสินใจออกไป เพราะไม่ใช่การสร้างบ้านหลังแรก แต่กลับกันในกลุ่มบ้านราคาตั้งแต่ 3-10 ล้านบาท กลับยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะยังตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ และกลุ่มชนชั้นกลางที่มองหา “บ้านเพื่อการอยู่อาศัยจริง”
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดกำลังกลายเป็นกำลังหลักสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดรับสร้างบ้านให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 45% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านคุณภาพในพื้นที่นอกเมืองใหญ่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เหตุผลที่ทำให้ความต้องการสร้างบ้านในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น อาจมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการกระจายของประชากร การทำงานที่ยืดหยุ่นจากเทคโนโลยี (Work from anywhere) หรือแม้แต่การกลับบ้านของคนรุ่นใหม่เพื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ความต้องการบ้านขนาดกลางในราคาสมเหตุสมผลจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก และบริษัทรับสร้างบ้านที่สามารถให้บริการคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ย่อมได้เปรียบอย่างชัดเจน

“ในต่างจังหวัด บ้านระดับ 3-5 ล้านบาท เป็นที่ต้องการสูงมาก เพราะเมื่อเทียบกับผู้รับเหมาทั่วไป ราคาห่างกันแค่ 10-15% แต่สิ่งที่ลูกค้าได้รับคือมาตรฐานการก่อสร้างที่ชัดเจน มีการควบคุมคุณภาพ และมีบริการหลังการขาย” ข้อได้เปรียบนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่บริษัทในสมาคม HBA สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคง”
รวมถึงสมาคมยังได้ดำเนินนโยบายจับมือกับสถาบันการเงินชั้นนำเพื่อสร้างทางเลือกด้านการเงินที่ยืดหยุ่นและง่ายต่อผู้บริโภคมากขึ้น หนึ่งในความร่วมมือที่สำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ลูกค้าขอสินเชื่อได้แม้ยังไม่ได้ยื่นแบบก่อสร้าง และสามารถทยอยรับเงินกู้ตามความคืบหน้างานจริง ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินและทำให้การสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป
การมีธนาคารพันธมิตรเข้ามาร่วมให้คำปรึกษาในงานอีเวนต์ใหญ่ เช่น งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความพร้อมของระบบสนับสนุนเบื้องหลังธุรกิจรับสร้างบ้าน ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษ วงเงินที่ปรับตามความสามารถของลูกค้า หรือบริการให้คำปรึกษาทางการเงินแบบครบวงจร สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าถึงการมีบ้านของตนเองได้ง่ายและมั่นคงยิ่งขึ้น
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” และ “บริการ” มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว การพัฒนาธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์ทั้งสองมิตินี้ได้อย่างครบถ้วน จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การมีแบบบ้านที่สวย แต่ต้องมีมาตรฐานการก่อสร้าง ระบบควบคุมคุณภาพ และการบริการที่สร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไม “ธุรกิจรับสร้างบ้าน” จึงยังเป็นโอกาสที่มั่นคงและมีอนาคต แม้เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงเพียงใดก็ตาม