fbpx
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท

อสังหาฯ 8 นาทีกับซีอีโอเอสซี แอสเสท ‘ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์’

วันก่อนเจอคุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ซีอีโอจากเอสซี แอสเสท มีโอกาสได้พูดคุยกันสัก 7-8 นาที อัพเดตถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ว่ากันว่าแต่ละค่ายเหนื่อยกันสุดๆ พร้อมกับมุมมองเรื่องของมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ

เริ่มบทสนทนากันที่สถานการณ์ตลาดอสังหาฯในปีนี้คุณณัฐพงศ์ยอมรับว่า การทำธุรกิจอสังหาฯในปีนี้มีความยากอยู่แล้ว ยากเพราะอะไร…

ยากเพราะว่า 1. การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบสูงขึ้นมากจากซัพพลายที่เข้ามาในตลาดจำนวนมากหลังจากช่วงโควิดที่สินค้าแนวราบขายดี 2.ภาระหนี้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง 3. ยอดการปฏิเสธสินเชื่อก็ยังคงสูงอยู่ ซึ่งจะทำให้ตลาดมีความยากลำบากอย่างต่อเนื่องไปอีก แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโด เพราะทุกคนก็อยากจะลดสต๊อกที่มีอยู่

ในส่วนของบริษัทมองเห็นปัญหาและทำการบ้านล่วงหน้ามาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว โดยการขยายการลงทุนไปในธุรกิจอื่นทั้งโรงแรมและแวร์เฮ้าส์ ส่วนธุรกิจที่อยู่อาศัยเราก็คงทำอะไรแบบเดิมไม่ได้ จากเคยอยู่เซลส์ออฟฟิศรอให้ลูกค้ามาหาก็ต้องวิ่งออกไปหาลูกค้าให้มากขึ้น เพิ่มกิจกรรมการตลาดให้มากขึ้น

แวะมาที่เรื่องมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯที่ออกมาคุณณัฐพงศ์มองว่า ยังไม่ได้ช่วยอะไรมากอย่างมีนัยยะอาจจะช่วยได้นิดหน่อย

“คิดว่าควรจะนำมาตรการผ่อนคลายสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) กลับมาใช้อีกครั้ง เพราะยังมีลูกค้าหลายๆ คนที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 หลังที่ 4 เพราะต้องการเพิ่มพื้นที่บ้านให้มากขึ้น หรือต้องการอยู่ในทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าและต้องการจะซื้ออยู่อาศัยจริงๆ ถ้าสามารถผ่อนคลาย L TV โดยอาจจะจำกัดเวลาก็จะช่วยผ่อนคลายความยากของธุรกิจลงได้ระดับหนึ่ง”

ส่วนประเด็นร้อนที่มีการถกเถียงกันในวงกว้างก็คือการขยายระยะเวลาเช่าเป็น 99 ปี และการให้ต่างชาติซื้อคอนโดได้มากขึ้น เรื่องนี้คุณณัฐพงศ์มองอย่างไรโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการขายชาติขายแผ่นดิน

“มาตรการที่ภาครัฐพยายามจะผลักดันออกมาไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาเช่าเป็น 99 ปี และการให้ต่างชาติซื้อคอนโดได้มากขึ้น ผมแบ่งเป็น 3 ประเด็น

ประเด็นที่ 1 คือต้องดูที่เจตนาก่อน เรื่องนี้มีเจตนาที่ดีเพราะว่าเราจะมีกำลังซื้อที่มากขึ้นไม่ใช่แค่ภาคอสังหาฯ เพราะคนที่มีกำลังซื้อที่จะเข้ามาในประเทศเราจะมีการลงทุนมากขึ้น มีการจ้างงานมากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของประเทศแน่นอน ส่วนธุรกิจอสังหาฯเองถ้ารวมกันทั้งประเทศมีมูลค่ารวมมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ถ้าภาคอสังหาฯขับเคลื่อนไปได้ก็จะส่งผลดีไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

เมื่อมีเจตนาที่ดี ประเด็นที่ 2 คือถ้าอยากได้ผลลัพธ์ดี มีคนเข้ามาลงทุน มีการจ้างงานในประเทศ สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศได้ ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ก็ต้องดูที่วิธีการซึ่งเป็นประเด็นที่ 3 ตอนนี้ทุกๆ ภาคส่วนก็ออกมาให้ความเห็นกันอย่างกว้างขวาง ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และคนไทยไม่ต้องซื้อบ้านที่แพงขึ้น และยังมีสิทธิ์มีเสียงได้อย่างเต็มที่

ผมจึงคิดว่าเรามาคุยกันเรื่องวิธีการที่ดีดีกว่า มันอาจจะมีการจำกัดทำเล จำกัดเวลา จำกัดช่วงราคาของสินค้า ทำอย่างไรที่จะให้คนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากขึ้น ภาษีที่เขาต้องจ่ายจะนำกลับมาช่วยคนไทยได้อย่างไร เพราะฉะนั้นช่วยกันหาวิธีการที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีกันดีกว่าประโยชน์จากการเปิดให้ต่างชาติมาด้วยอย่างเช่นภาษีที่ได้ต้องหักมาช่วยคนซื้อบ้าน

ส่วนเรื่องของการถูกโจมตีว่าขายชาติผมมองว่าสิ่งที่ดีคือประเทศเรามีประชาธิปไตย ก็สามารถมีความเห็นได้ แต่ผมอยากให้กลับมามองว่า แต่ละนโยบายมีเจตนาที่ดีเรามาช่วยกันหาวิธีการให้ ผลลัพธ์มันออกมาดีกันดีกว่า

ตอบได้ขนาดนี้ปรับครม.รอบหน้าจะมีชื่อเป็นรมต.กับเค้ามั้ยหนอ