fbpx
10 ภาพอาคารเอสซีจี

เอสซีจี ยอดขายหด ฉุดรายได้ไตรมาส 1/67 ติดลบ 3%

เอสซีจีเผยผลประกอบการไตรมาสแรกปี 67 รายได้ติดลบกราวรูดจากยอดขายที่ลดลง ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานแต่ละธุรกิจยังสดใส อานิสงส์จากสินค้านวัตกรรมกรีน และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจเศรษฐกิจมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีจากภาคการท่องเที่ยว-ลงทุนต่างประเทศ การเบิดจ่ายงบประมาณ และมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 1 ปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในช่วงอ่อนตัว แต่เอสซีจีสามารถบริหารต้นทุนได้ดี นำเสนอนวัตกรรมกรีนสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีรายได้ 124,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ มี EBITDA 12,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ซึ่งมาจากสินค้ากรีนและการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และมีกำไรสำหรับงวด 2,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากกำไรที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายลดลง 3% ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ ส่วน EBITDA เพิ่มขึ้น 4% จากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ขณะที่กำไรสำหรับงวดลดลง 85% เนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2566 มีรายการพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ซึ่งไม่ใช่รายการเงินสดมูลค่า 11,956 ล้านบาท ประกอบกับไตรมาสนี้ผลประกอบการของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง

เปิดคฤหาสน์หรูริมทะเลสาบ

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารายได้จะลดลง แต่ก็ยังสามารถทำกำไรได้ ได้แก่

ธุรกิจเอสซีจีซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน รายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2567เท่ากับ 21,399 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่ลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA เท่ากับ 3,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการและโครงการด้านกรีน รวมถึงยอดขายของปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ที่เพิ่มขึ้น กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,191 ล้ านบาท เพิ่มขึ้น 46% ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศไทยที่หดตัว 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับงบประมาณภาครัฐที่มาช้ากว่าที่คาด แม้ว่าได้รับการอนุมัติแล้ว (สัดส่วนประมาณ 40% ของตลาด) อีกทั้งตลาดที่อ่อนตัวในภาคครัวเรือนและภาคเอกชน (สัดส่วนประมาณ 60% ของตลาด) อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ตลาดจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล รายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2567เท่ากับ 38,402 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA เท่ากับ 1,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจดิสทริบิวชั่น กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่หดตัว 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากตลาดในภาคครัวเรือน และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันตลาดในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมยังมีปริมาณสต็อกสะสมอยู่ ส่งผลให้โครงการก่อสร้างยังคงทรงตัวหากเทียบกับปีก่อน

ธุรกิจเอสซีจีเดคคอร์(SCGD) มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2567เท่ากับ 6,784 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA เท่ากับ 854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 258 ล้านบาท เพิ่มขึ ้น 191 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เปิดคฤหาสน์หรูริมทะเลสาบ

สำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้ 65,782 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ จากยอดขายสินค้า SCG Green Choice ดังกล่าว สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 230,000 ตัน CO2 ขณะที่รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 ทั้งสิ้น 54,585 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44 ของยอดขายรวม

โครงสร้างทางการเงินยังมั่นคงต่อเนื่อง โดยมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 78,585 ล้านบาท เทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 68,064 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีมูลค่า 939,396 ล้านบาท โดยร้อยละ 46 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)

นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เศรษฐกิจโลกยังเผชิญจากความเสี่ยงจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เศรษฐกิจไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการท่องเที่ยว การลงทุนของต่างชาติ การอนุมัติงบประมาณปี 2567 ของภาครัฐที่จะเริ่มเบิกจ่ายในเดือนเมษายน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ลดหย่อนภาษีเงินได้ และปล่อยสินเชื่อให้กู้ซื้อบ้านสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ และเป็นที่น่ายินดีที่ภาครัฐให้ความสำคัญเรื่องกรีน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเสนอพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในปีนี้ การสนับสนุนโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย หากมีการผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ก็จะเป็นต้นแบบให้องค์กรอื่น ๆ ปฏิบัติตาม ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นแนวคิดเรื่องกรีนให้เป็นรูปธรรม ลดภาวะโลกเดือดได้ รวมทั้งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว”

ผลประกอบการ เอสซีจี ไตรมาส ปี ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน