fbpx
FB cover 12

Top 10 บริษัทอสังหาฯแห่งปี 2566

ปี 2566 ถือเป็นปีที่น่าผิดหวังอีกปีสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากที่คาดว่าจะไปได้สวยด้วย momentum จากปี 2565 ที่ธุรกิจกำลังเริ่ม take off แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อตลาดเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอีกครั้งก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และชะลอตัวต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปลายปี แม้แต่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมา จนล่วงเข้าสู่ปี 2567 ตลาดก็ยังไม่ดูดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา

Property Mentor ได้เก็บข้อมูลบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้น 41 บริษัท เพื่อตรวจสอบผลการดำเนินการในปี 2566 ว่าแต่ละบริษัทสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนและใครคือผู้ชนะตัวจริง!

ในรอบปี 2566 บริษัทอสังหาฯทั้ง 41 ราย สามารถทำรายได้รวมกันกว่า 371,560 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยหรือประมาณ -1.2% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท แต่ถ้าเจาะดูรายบริษัทจะพบว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัทที่มีรายได้รวมลดลง

บริษัทที่มีรายได้รวมติดลบในหลัก 20% อัพๆ เช่น แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ที่ติดลบไปราวๆ -28% นอกจากนี้ยังมี ไรมอน แลนด์ ที่ติดลบไป -26% ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ -23% เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ -22% และไซมิส แอสเสท -21%

แม้แต่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็ยังมีรายได้รวมติดลบถึง 18% และเป็นที่สังเกตด้วยว่า Top 10 บริษัทที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีถึง 5 บริษัทที่มีรายได้รวมลดลงจากปี 2565 ซึ่งนอกจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้วยังมี เอพี (ไทยแลนด์) ที่ติดลบไปเล็กน้อยไม่ถึง -1% นอกจากนี้ ยังมี ศุภาลัย -10% พฤกษา โฮลดิ้ง -9% และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ รายได้รวมลดลงราวๆ -4%

แสนสิริ แชมป์ รายได้รวม 39,082 ล้านบาท โต 12%
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯที่ทำรายได้รวมสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1.แสนสิริ 39,082 ล้านบาท เฉือนอันดับ 2. เอพี (ไทยแลนด์) 38,399 ล้านบาท อย่างน่าเจ็บใจ อันดับ 3 ศุภาลัยตามมาห่างๆ ด้วยรายได้รวม 31,818 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 4 เป็นของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 30,170 ล้านบาท อันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง 26,132 ล้านบาท

อันดับ 6 ตกเป็นของเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีรายได้รวม 24,487 ล้านบาท อันดับ 7 เป็นของ ยูนิเวนเจอร์ มีรายได้รวม 17,672 ล้านบาท อันดับ 8 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) 16,169 ล้านบาท อันดับ 9 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 15,157 ล้านบาท และอันดับ 10 สิงห์ เอสเตท 15,066 ล้านบาท

แต่ถ้าจะวัดกันที่ผลงานกันจริงๆ ก็ต้องดูที่รายได้จากการขายเป็นหลัก เพราะเอาจริงๆ Top 10 ของบริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดมีหลายรายได้รายได้จากทางอื่นมาเป็นตัวช่วย แต่ถ้านับเฉพาะรายได้จากการขายโฉมหน้า Top 10 และอันดับต่างๆ ก็จะปลี่ยนไป

มัดรวมทั้ง 41 บริษัทที่ได้ทำการเก็บข้อมูลสามารถทำรายได้จากการขายรวมกันได้ 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 299,979 ล้านบาท โดยมีถึง 30 จาก 41 บริษัทที่มรายได้จากการขายลดลงจากปี 2565

อย่างเช่น ไรมอน แลนด์ ที่มีรายได้จากการตกลงถึง -78% แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ รายได้ขายลดลงเกือบ -40% ที่น่าตกใจคือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์มีรายได้จากการขายลดลงถึง -38% หรือแม้แต่เบอร์ 1 อย่าง เอพี (ไทยแลนด์)ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงเล็กๆที่ -2% และไม่เพียงแค่บิ๊กๆ อย่างเอพีที่มีรายได้จากการขายติดลบ เพราะใน Top 10 ของบริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุดมีบริษัทที่ทำรายได้จากการขายลดลงถึง 8 บริษัทเลยทีเดียว

เอพีขายเก่งที่ 1 โกยรายได้ขาย 36,927 ล้านบาท
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯที่ทำรายได้จากการขายสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้จากการขายรวม 36,927 ล้านบาท ปาดหน้าคืนอันดับ 2 แสนสิริ ที่เข้าป้ายด้วยรายได้จากการขายรวม 32,829 ล้านบาท แต่แสนสิริก็เป็น 1 ใน 2 บริษัทที่มีรายได้จากการขายโตขึ้น 7% ส่วนอันดับ 3 ตกเป็นของศุภาลัย ที่ยังรักษาอันดับได้อย่างเหนียวแน่นด้วยรายได้ขาย 30,836 ล้านบาท ตามมาห่างๆ ด้วยอันดับ 4 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ขึ้น Top 5 ได้สำเร็จด้วยรายได้ขาย 23,370 ล้านบาท และเป็นอีกบริษัทที่มีรายได้เติบโตในแดนบวกที่ 13% อันดับ 5 ตกเป็นของ พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้จากการขายรวม 22,357 ล้านบาท

ส่วนอันดับ 6 แม้รายได้จากการขายจะตกลงไปเยอะ แต่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็ยังประคองตัวอยู่ใน Top 10 ด้วยรายได้ขายรวม 18,966 ล้านบาท อันดับ 7 เจ้าสัวน้ำเมาส่งเข้าประกวด เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มีรายได้ขายรวม 10,019 ล้านบาท อันดับ 8 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แม้ว่าจะมีรายได้ลดลงถึง -24% แต่ก็ยังเกาะกลุ่มอยู่ใน Top 10 ได้ด้วยรายได้ขายรวม 8,840 ล้านบาท อันดับ 9 มาแบบเงียบๆ แต่ก็มาเกือบทุกปี ควอลิตี้ เฮ้าส์ มีรายได้จากการขายรวม 7,619 ล้านบาท และอันดับ 10 เป็นของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีรายได้จากการขายรวม 7,171 ล้านบาท

อีกบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นจนต้องพูดถึงก็คือ เซ็นทรัลพัฒนาที่เริ่มติดเครื่อง หลังปูพรมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาแล้วหลายโครงการถึงเวลาเริ่มเก็บเกี่ยวรายได้เข้ากระเป๋า โดยในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนา มีรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท เติบโต 103% จากปี 2565 ที่มีรายได้จากการขาย 2,870 ล้านบาท

มาถึงบรรทัดสุดท้าย แม้ใครจะขายได้ ขายดี แต่ถ้ามีกำไรน้อย เก็บเงินเข้ากระเป๋าได้น้อย ก็ย่อมถือว่าไม่ใช่ผู้ชนะตัวจริง โดยในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 ที่มีกำไรสิทธิรวมกันราวๆ 49,602 ล้านบาท โดยมีกว่า 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน ซึ่งบางบริษัทขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่โควิดยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และกว่า 20 บริษัทจาก 41 บริษัทที่มีผลกำไรลดลงจากปี 2565

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ยืนหนึ่งทำกำไรสูงสุด 7,495 ล้านบาท
สำหรับ Top 10 บริษัทอสังหาฯที่สามารถทำกำไรได้สูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็นแชมป์เก่า แลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้จะมีรายได้ลดลงมาก แต่กวาดกำไรในปีนี้ไปถึง 7,495 ล้านบาท เหตุผลหลักเป็นเพราะแลนด์แอนด์เฮ้าส์มีกำไร 2,500 ล้านบาทจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุนนั่นเอง มิเช่นนั้นอันดับ 2 อย่างศุภาลัยคงเข้าป้ายเป็นอันดับ 1 ไปแล้ว โดยในปี 2566 ศุภาลัยทำกำไรไปได้ 6,083 ล้านบาท เฉือนอันดับ 3 อย่างเอพี (ไทยแลนด์)ที่มีกำไร 6,054 ล้านบาท อย่างเฉียดฉิว ส่วนอันดับ 4 เป็น แสนสิริ มีกำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% อันดับ 5 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิ 3,160 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงจากปีก่อนถึง -25% ก็ตาม

อันดับ 6 เอสซี แอสเสท มีกำไรสุทธิ 2,525 ล้านบาท เฉือนอันดับ 7 ควอลิตี้เฮ้าส์ ที่มีกำไรสุทธิ 2,503 ล้านบาท ไปอย่างเจ็บๆ คันๆ อันดับ 8 พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไร 2,339 ล้านบาท ส่วนอันดับ 9 ตกเป็นของบริษัทเจ้าสัวน้ำเมา เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไร 1,865 ล้านบาท และอันดับ 10 เซ็นทรัลพัฒนา ที่มีกำไรสุทธิที่ 1,610 ล้านบาท* (ตัวเลขประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท)

ทั้งหมดนี้เป็นผลการดำเนินการในภาคอสังหาริมทรัพย์จาก 41 บริษัทที่ Property Mentor ได้รวบรวมเอาไว้ ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะเป็นอีกปีที่ยากยิ่งอีก 1 ปี ส่วนใครจะสามารถรับมือได้ดีขนาดไหนเอาไว้มาติดตามกันต่อไป