REIC เปิดผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย 5 จังหวัดภาคเหนือ โครงการใหม่เปิดตัวเพิ่ม 66% แต่ยอดขายลดลง 13% ดันบ้าน-คอนโดค้างสต๊อกขยับเพิ่ม 3.6% จับตาบ้านสร้างเสร็จเหลือขายมีกว่า 4,000 หน่วย พร้อมเปิด 5 ทำเลรุ่ง-ร่วง เชียงใหม่-เชียงรายกวาดเรียบ
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า REIC รายงานสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยของจังหวัดภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก นครสวรรค์ และลำพูน พบว่า อุปทานพร้อมขายมีจำนวนทั้งสิ้น 16,954 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งแรกปี 2566 ร้อยละ -0.2 แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 1,795 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 โครงการบ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลงร้อยละ -2.6 มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6
แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 พบว่าจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยพร้อมขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เป็นการเพิ่มขึ้นของหน่วยของอาคารชุดร้อยละ 5.6 และหน่วยของบ้านจัดสรรร้อยละ 1.5
สำหรับโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีจำนวน 1,442 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.3 มูลค่า 5,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 แบ่งเป็น โครงการอาคารชุด 505 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 631.9 มูลค่า 1,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,135.8 โครงการบ้านจัดสรร 937 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 มูลค่า 4,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3
ด้านอุปสงค์โดยรวมพบว่า ยอดขายใหม่มีสัดส่วนลดลง โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่เพียง 1,513 หน่วย ลดลงร้อยละ -13.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็น อาคารชุดมียอดขายใหม่จำนวน 252 หน่วย ลดลงร้อยละ 22.2 มูลค่า 710 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.6 ขณะที่บ้านจัดสรรมียอดขายใหม่จำนวน 1,261 หน่วย ลดลงร้อยละ -10.9 มูลค่า 4,938 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.1
หากพิจารณาโดยภาพรวมจะพบการลดลงของยอดขายใหม่ในทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัย มีเพียงบ้านแฝดเท่านั้นที่มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าที่อยู่อาศัยที่ขายได้ใหม่ร้อยละ 58.6 เป็นโครงการบ้านเดี่ยว โดยระดับราคาที่มีหน่วยขายได้สูงสุดคือ 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 339 หน่วย และราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 306 หน่วย
การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และอุปทานในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยคงค้างรอการขายมีจำนวนถึง 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เป็นอาคารชุดจำนวน 1,543 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 มูลค่า 4,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 และบ้านจัดสรรจำนวน 13,898 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 มูลค่า 58,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7
“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทการก่อสร้างพบว่า มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายจำนวนถึง 4,877 หน่วย หรือร้อยละ 31.6 ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด ในจำนวนดังกล่าวเป็นอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหลือขายจำนวน 837 หน่วย ส่วนบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 4,040 หน่วย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าจับตา”
ในพื้นที่ภาคเหนือมี 5 ทำเลที่มีศักยภาพ และ 5 ทำเลที่ต้องเฝ้าระวัง ดังนี้
5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ประกอบด้วย
อันดับ 1 ทำเลสันทรายจำนวน 175 หน่วย มูลค่า 573.6 ล้านบาท
อันดับ 2 ทำเลในเมืองเชียงรายจำนวน 131 หน่วย มูลค่า 488.4 ล้านบาท
อันดับ 3 ทำเลแม่โจ้จำนวน 130 หน่วย มูลค่า 349.4 ล้านบาท
อันดับ 4 ทำเลม.พายัพจำนวน 117 หน่วย มูลค่า 565.6 ล้านบาท
อันดับ 5 ทำเลสารภีจำนวน 115 หน่วยมูลค่า 399.4 ล้านบาท
5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ประกอบด้วย
อันดับ 1 ทำเลในเมืองเชียงรายจำนวน 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท
อันดับ 2 ทำเลสันทราย จำนวน 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท
อันดับ 3 ทำเลบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด จำนวน 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท
อันดับ 4 ทำเลม.พายัพ จำนวน 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาท
อันดับ 5 ทำเลสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง จำนวน 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท
สำหรับในปี 2567 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยภาคเหนือประมาณ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท อาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท โดยภาพรวมยอดขายใหม่อาจมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5 และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 1.8