fbpx
singapore 2148190 1920

ก้าวไกลจัดให้ บ้านตั้งตัว ช่วยผ่อนบ้านเดือนละ 2,500 บาท

บทสรุปการเลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกล พลิกโผชนะเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยคะแนนเสียง(อย่างไม่เป็นทางการ)  152 ที่นั่ง โดยประกาศตั้งรัฐบาลร่วมกับฝ่ายค้านเดิมซึ่งประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง บวกกับพรรคที่จะดึงมาเพิ่ม ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย 6 ที่นั่ง และพลังเป็นธรรม 1 ที่นั่ง รวมเป็น 309 ที่นั่ง โดยจะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลก้าวไกล-เพื่อไทย

ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกลด้านหนึ่งก็นำเสนอหลายๆ นโยบายได้โดดเด่น โดนใจผู้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ๆ แต่ด้านหนึ่งหลายๆ นโยบายจะกลายเป็นประเด็นที่อ่อนไหว และส่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะการเสนอแก้รัฐธรรมนูญในมาตรการ 112 รวมถึงนโยบายทางสังคมที่ค่อนข้างเปราะบางอีกหลายเรื่องที่จะอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา

ภาพจากเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล

ในส่วนของนโยบายด้านเศรษฐกิจ-สังคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พรรคก้าวไกลนำเสนอนโยบายที่ชื่อว่า บ้านตั้งตัว โดยมองว่า ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมีภาระค่าใช้จ่ายสูงเกิน การจะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากในภาวะปัจจุบัน เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวรัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าผ่อนหรือค่าเช่าให้กับผู้ซื้อหรือผู้เช่าที่อยู่อาศัย

สำหรับผู้ซื้อบ้าน-ที่พักอาศัยใหม่เป็นหลังแรกในราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จำนวน 100,000 ราย รัฐบาลจะช่วยค่าผ่อนบ้าน ในอัตรา 2,500 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปีส่วนผู้เช่าบ้าน-หอพัก จำนวน 250,000 ราย รัฐบาลจะช่วยค่าเช่าในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอให้ทางก้าวไกลแจกแจงในรายละเอียด วิธีการดำเนินการ โดยเฉพาะสิทธิ์นี้ใครจะเป็นผู้ได้รับ เพราะมีจำนวนจำกัดแค่ 100,000 รายสำหรับผู้ซื้อบ้าน และ 250,000 ราย สำหรับผู้เช่าบ้าน ซึ่งแน่นอนว่า Demand มีมากกว่านั้นจะจัดสรรอย่างไรให้เป็นธรรมและเท่าเทียม

รวมถึงความชัดเจนในเรี่องของแผนงานของบ้านตั้งตัวว่าจะมีระยะเวลาเท่าไร จะเป็นการอุดหนุน 350,000 รายตลอด 4 ปีของวาระการเป็นรัฐบาล หรือปีละ 350,000 รายไปตลอด 4 ปี ส่วนเรื่องการเช่าก็ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าจะช่วยค่าเช่า 1,000 บาท/เดือนไปนานเท่าไร

ทั้งนี้เมื่อคิดคำนวณดูแล้ว การอุดหนุนโดยการช่วยผ่อน 2,500 บาท/เดือนเป็นเวลา 30 ปี ให้กับผู้ซื้อบ้าน 100,000 ราย เท่ากับว่าต้องใช้งบประมาณสนับสนุนปีละ 3,000 ล้านบาท 30 ปี ก็ 90,000 ล้านบาท ส่วนการช่วยผ่อนค่าเช่า 1,000 บาท/เดือนให้กับผู้เช่า 250,000 ราย จะใช้งบประมาณอีกปีละ 3,000 ล้านบาทเช่นกัน

หากมองในแง่ของการช่วยเหลือต่อรายจากการช่วยผ่อนบ้าน 2,500 บาท/เดือน ในระยะเวลา 30 ปี เท่ากับรัฐควักเงินช่วยรวมเป็นเงิน 900,000 บาทต่อหลัง ถ้าบ้านราคา 1.5 ล้านบาท เท่ากับรัฐจะช่วยเงินอุดหนุน 60% ของราคาบ้าน ถ้าบ้านราคา 1 ล้านบาท เท่ากับรัฐช่วยอุดหนุนถึง 90% ของราคาบ้าน น่าเสียดายที่เงิน 900,000 บาท ไม่ได้เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระด้านราคาให้กับผู้ซื้อโดยตรง เพราะด้วยความที่เป็นการช่วยผ่อนเงินกู้ ซึ่งนั่นหมายถึงเงินส่วนหนึ่งจะกลายเป็นการช่วยส่งดอกเบี้ยให้กับธนาคาร ดังนั้นหากเป็นไปได้อาจต้องหาวิธีการที่ช่วยให้งบประมาณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังมีนโยบายที่จะช่วยปลุกกำลังซื้อในภาคอสังหาฯได้เพิ่มขึ้น เช่น ปรับขึ้นค่าแรงทุกปีตามค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มปรับทันทีเป็น 450 บาท/วัน ต้องมีโอทีหากทำงานเกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ซึ่งนโยบายนี้ก็มีทั้งส่วนที่จะเพิ่มกำลังซื้อ แต่อีกด้านหนึ่งก็จะไปเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มจากต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

นโยบายส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) โดยสนับสนุนให้เกิด Wellness Economy ผ่าน Long Stay visa มีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้สูงอายุต่างชาติที่มีรายได้สูง เช่น จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ กายภาพบำบัด จัดตั้ง Retirement Center/Facility ตามจังหวัดในภูมิภาคต่าง ๆ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจโรงแรม

นโยบายส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยว-ทำงาน(Workation) เปิดให้มี Visa เข้ามาทำงานระยะยาวขึ้นมาอีกประเภท ที่มีระยะสั้นกว่า LTR เดิม (1 ปี แต่สามารถต่อได้ทุกปี) แต่มีเงื่อนไขเรื่องรายได้ผ่อนปรนกว่าเงื่อนไขของ LTR อาทิ ลดจำนวนรายได้ต่อปี ไม่กำหนดวุฒิการศึกษา ไม่กำหนดรายได้ของบริษัทที่ทำให้ด้วย เพื่อให้มีเงื่อนไข Visa ที่สามารถดึงดูด Digital Nomad สู้กับประเทศอื่นๆ ได้

รวมถึงมาตรการส่งเสริมธุรกิจ SME ให้แข็งแรงขึ้น  เช่น การลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 0-15% ให้หักค่าใช้จ่ายเหมาภาษี เพิ่มจาก 60% เป็น 90% เติมทุนและเติมตลาดให้ SME การส่งเสริมให้ธนาคารนำข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลในการชำระค่าสาธารณูปโภค (เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า) คำนวณเครดิตของลูกหนี้ เพื่อให้ธนาคารประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้น ลูกหนี้ที่ประวัติดีจะได้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าเดิม เป็นต้น

ก็คงต้องมาตามลุ้นกันว่านโยบายต่างๆ เหล่านี้จะสามารถผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าก้าวไกลขึ้นมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอย่างเต็มตัว