เข้าโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งปี 2566 แต่ละพรรคการเมืองพยายามหาเสียง ชูนโยบายในด้านต่างๆ เพื่อมัดใจประชาชนกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ก่อนจะชี้ชะตาว่าใครจะเป็นผู้ชนะในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
มาว่ากันที่นโนบายที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ที่ดิน และการคมนาคมก็มีหลายพรรคที่นำเสนอเอาไว้ Property Mentor ได้รวบรวมเท่าที่จะสามารถตรวจสอบได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งสำหรับการตัดสินใจเลือกเบอร์ที่ใช่ พรรคที่ชอบ
เริ่มที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีนโยบายสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัยโดยตรง ทั้งๆ ที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นอดีตดีเวลลอปเปอร์ใหญ่ที่เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ก็มีนโยบายในเรื่องของการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับประชาชน 50 ล้านไร่ ที่ดินที่ออกโฉนดจะถูกแบ่งใช้เป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นำสู่สภาวะเป็นกลางทางคาร์บอน และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2023/05/พรรคเพื่อไทย-ที่ดิน-1280x720.jpg)
ส่วนอีกนโยบายที่รอวันพิสูจน์ว่าจะสามารถทำได้จริงๆ หรือไม่ถ้าได้เป็นรัฐบาล หลังจากที่เคยทำไม่สำเร็จมาแล้วในรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยจะเร่งเจรจากับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายคือ ค่าโคยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพคือ 20 บาทตลอดสาย
มาที่พรรคก้าวไกลขวัญใจคนรุ่นใหม่ มีนโยบายแก้ปัญหาการขาดที่ดินทำกินโดยการจัดตั้งกองทุนตรวจสอบข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินและออกเอกสารรับรองสิทธิในที่ดิน 10,000 ล้านบาท เพื่อพิสูจน์สิทธิ์ และออกเอกสารสิทธิ์ให้ครบถ้วนทั้งหมดภายใน 5 ปี
ส่วนด้านที่อยู่อาศัยพรรคก้าวไกลได้นำเสนอนโยบาย บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง โดยรัฐบาลจะช่วยค่าผ่อนบ้าน สำหรับผู้ซื้อบ้าน-ที่พักอาศัยใหม่เป็นหลังแรกราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จำนวน 100,000 ราย ในอัตรา 2,500 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี และช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพักจำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2023/05/พรรคก้าวไกล-640x360.png)
นอกจากนี้ยังมีนโยบายพัฒนาระบบค่าโดยสารร่วม กำหนดราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 8-25 บาท ตลอดสาย สำหรับรถเมล์ และเที่ยวละ 8-45 บาท ตลอดสาย สำหรับรถเมล์และรถไฟฟ้าใช้งบประมาณในการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้ผู้ให้บริการรถเมล์/รถไฟฟ้าประมาณปีละ 7,170 ล้านบาท
สำหรับพรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน นำเสนอโครงการบ้านล้านหลังประชารัฐซึ่งเป็นนโยบายที่ทำมาตลอด 4 ปีของการเป็นรัฐบบาลโดยการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3% ระยะเวลา 5 ปี แรก ให้กับประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 2.5 หมื่นบาท/เดือนสำหรับซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง และทรัพย์ NPA ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ปัจจุบันรัฐบาลโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์กำลังดำเนินการโครงการบ้านล้านหลังในเฟสที่ 3 วงเงินกู้ 20,000 ล้านบาท หลังจากปล่อยกู้ในเฟสที่ 1 และ 2 ไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2020/06/82_2694_th-1280x606.png)
นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการบ้านสุขใจวัยเกษียณให้กับผู้สูงอายุวัยเกษียณ การสร้างเมืองเมืองอัจฉริยะสีเขียว การนำโมเดลเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี มาต่อยอดสู่ภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อีสาน 4.0 ล้านนา 4.0 และด้ามขวาน 4.0 โครงการการสร้างเมืองน่าอยู่ ใกล้บ้าน มีงานทำ ด้วยแนวคิด 15 เมืองหลัก 15 เมืองรอง เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างที่อยู่อาศัย พัฒนาย่านธุรกิจ รวมถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะสีเขียว การจัดสิทธิที่ดินทำกิน เมื่อมีบ้านแล้วก็ต้องมีที่ดินทำกินให้กับเกษตรกร
พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนโยบายพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สานต่อมาจากรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตของพรรค เป็นนายกฯ โดยนำโครงการ บ้านสุขประชา มีบ้านมีงานทำมาผลักดันต่อ มีเป้าหมายสร้างบ้านพร้อมอาชีพ 1 แสนหลังภายใน 5 ปี พร้อมกับนโยบายสนับสนุนสินเชื่อบ้านล้านหลังสำหรับผู้มีรายได้น้อย เฟสที่ 3 โครงการบ้านมั่นคงริมคลองเปรมประชากร โครงการฟื้นฟูแฟลตดินแดง เฟส 2 การเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และ ระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค และการแก้กฎหมายให้ได้ที่ทำกินโดยไม่โดนไล่ที่ไม่ถูกฟ้อง
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2021/12/เคหะสุขประชา-1280x852.jpg)
พรรคประชาธิปัตย์ เน้นไปที่นโยบายปลดล็อกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพและกองทุนสํารองเลี้ยงชีพให้ซื้อบ้านได้ เป็นการเพิ่มโอกาสในการมีบ้านเป็นของตนเอง ให้แก่ข้าราชการ พนักงานของรัฐ และเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่อยู่ในวัยเริ่มทํางานและมีรายได้น้อย โดยการเพิ่มสิทธิให้แก่สมาชิก กบข. และกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ในการขอรับเงินจากกองทุนที่ตนเป็นสมาชิกไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นรายบุคคล เพื่อนําไปจัดหาที่อยู่อาศัย หรือชําระหนี้บ้านที่ได้มีการกู้เงินจากสถาบันการเงินไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายจํานวน 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และ พระราชบัญญัติ กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 กองทุน มีสมาชิก รวมประมาณ 4 ล้านคน และมีมูลค่าสินทรัพย์รวม ประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2023/05/Democrat_Party_Thailand_Logo-640x640.png)
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ภายใน 4 ปี เพื่อสร้างหลักประกันในการประกอบอาชีพและอยู่อาศัย โดยออกกรรมสิทธิ์ทํากินให้แก่ประชาชนที่ทํากินในที่ดินของรัฐให้ถูกต้องตาม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
พรรคภฺูมิใจไทย เน้นไปที่การนำนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาเมืองในภูมิภาค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามถนัด เช่น การสร้างเศรษฐกิจ ด้วยงานเทศกาล ปั้นเมือง สร้างงาน วางรากฐาน “ท้องถิ่นเข้มแข็ง” โดยการดึงงานระดับโลกมาจัดที่ประเทศไทย
นโยบาย Wellness Resort of the World รักษาเมืองหลัก พักฟื้นเมืองรอง ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายแห่งการ “รักษา” “พักผ่อน” และ “ฟื้นฟู” ร่างกายและจิตใจ ของประชากรโลก โดยจะมีการพัฒนาเมืองรอง เพื่อรองรับการพักฟื้น
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2023/05/BP_Logo-640x889.png)
นอกจากนี้ยังมีนโยบาย สร้าง Landbridge อ่าวไทย-อันดามัน ยกระดับการคมนาคมของประเทศไทย ผลักดันรถเมล์ไฟฟ้าลด Pm 2.5 โดยมีค่าโดยสารเริ่มต้น 10 บาทสูงสุด 40 บาท ทุกเที่ยว ทุกสาย ตลอดวัน โดยมีแผนที่จะดำเนินการไม่เกิน 3 ปีในการเปลี่ยนรถขนส่งสาธารณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าๆ หรือรถร้อน มาเป็นรถไฟฟ้า
พรรคชาติพัฒนากล้า เน้นนโยบายการแก้ปัญหาด้านสินเชื่อโดยการยกเลิกแบล็คลิสต์รื้อระบบสินเชื่อเพิ่มโอกาสการกู้เงิน ซึ่งรวมไปถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงการสนับสนุนเงินปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุ 5 หมื่นบาทต่อหลัง 1 ล้านครัวเรือนภายใน 4 ปี (จากปัจจุบันหลังละไม่เกิน 40,000 บาท โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) เพื่อลดความเสี่ยงคนสูงอายุล้มในบ้านจากสถิติปีละ 2 ล้านคน เป็นการสร้างความปลอดภัยที่ควรเริ่มที่บ้าน และช่วยค่าใช้จ่ายลูกหลานในการดูแล
![](https://thaipropertymentor.com/wp-content/uploads/2023/04/โครงการทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย-ช่วงจตุโชติ-ถนนลำลูกกา-1280x682.jpg)
รวมถึงนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยการสร้างมอร์เตอร์เวย์ 2,500 กิโลเมตร ทั่วไทย ได้แก่ Motorway สาย M61 ชลบุรี-นครราชสีมา 288 กิโลเมตร 70,000 ล้านบาท Motorway สาย M6 นครราชสีมา-หนองคาย 350 กิโลเมตร 70,000 ล้านบาท Motorway สาย M8 นครปฐม-ชะอำ-สุไหงโกลก 1,100 กิโลเมตร 250,000 ล้านบาท Motorway สาย M5 บางปะอิน-เชียงราย 680 กิโลเมตร 200,000 ล้านบาท
สุดท้ายพรรคไทยสร้างไทย มีนโยบายเกี่ยวกับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของเกษตรกร โดยให้มีการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดิน สปก.ในกรณีชราภาพและไม่มีความประสงค์จะทำการเกษตรต่อไป โดย สปก.จะพิจารณารับซื้อที่ดินในราคาที่เป็นธรรม เพื่อนำมาจัดสรรให้เกษตรกรรายอื่นต่อไป และนโยบายนำที่ดิน คทช. ที่ดิน ภบท.5 ของกรมป่าไม้
ให้โอนอำนาจจัดการในที่ดินประเภทดังกล่าวมาให้ สปก. เพื่อดำเนินการจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน และเป็นที่อยู่อาศัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
เท่าที่ดูแล้ว แต่ละพรรคต่างนำเสนอนโยบายที่ค่อนข้างฉาบฉวย บางนโยบายยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ แต่ยังไม่มีใครนำเสนอนโยบายสนับสนุนการมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองอย่างยั่งยืน ทั้งๆ ที่เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง ขณะที่รัฐก็เครื่องมือพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเคหะแห่งชาติ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เป็นต้น ก็อยากให้รัฐบาลใหม่ ส.ส.ใหม่ หยิบจับ ผลักดันเรื่องนี้กันอย่างจริงจังเสียที