fbpx
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกั...

แสนสิริ เปิดเกมรุกอสังหาฯปี66 ผุดกว่า 50 โครงการ ปั๊มยอดขาย 6 หมื่นล้านอัพ

แสนสิริประกาศความสำเร็จตั้งแต่ยังไม่จบปี 2565 ด้วยยอดขายที่ทำได้เกินกว่าเป้าหมาย 5 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับรายได้ที่คาดว่าจะเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.5 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย พร้อมกับการเปิดโครงการใหม่ไปกว่า 30 โครงการ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท และเมื่อเทียบกับปี 2564 ในส่วนของยอดขายโตขึ้นถึง 49% ขณะที่รายได้ก็เติบโตราวๆ 20% พร้อมกับปักหมุดหมายใหม่ที่ท้าทายกว่าในปี 2566

“ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่เหนื่อยแต่ก็เป็นปีที่ดีในแง่ของการดำเนินงานที่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งในแง่ของการเปิดตัวโครงการใหม่ 30 กว่าโครงการ 5 หมื่นล้านบาท ยอดขาย 5 หมื่นกว่าล้านบาทโตถึง 49% และรายได้ที่โตประมาณ 20% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV และเป็นช่วงท้ายของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจึงทำให้มีการเร่งเร่งตัดสินใจซื้อและโอนในช่วงปลายปี

ส่วนในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีโครงการเปิดใหม่กว่า 50 โครงการ มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท ยอดขายก็คงไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท รายได้ต้องมากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาทแน่นอน และจะเติบโตมากกว่า 2 หลัก” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ด้วยความมั่นใจที่ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะยัง Positive อยู่ ถ้าดูจากการขยาตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เติบโตได้กว่า 3% (แบงก์ชาติและสภาพัฒน์ประเมินที่ 3.2% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังประเมินที่ 3.4%) และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 (แบงก์ชาติ และ IMF ประเมินที่ 3.7 และสภาพัฒน์ประเมินที่ 3-4 % สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังประเมินที่ 3.8%) ซึ่งภาคอสังหาฯก็จะเติบโตขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

ในขณะเดียวกัน บริษัทอสังหาฯรายเล็กๆ จำนวนมากได้หายไปในช่วงโควิด-19 จากปัญหาสภาพคล่อง สายป่านไม่ยาวพอ ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความสามารถในการทำธุรกิจสู้รายใหญ่ไม่ได้ ทำให้ดีมานด์ตรงนี้จะไหลกลับมาที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ เห็นได้ชัดเจนจากรายได้ที่เติบโตขึ้นของบริษัทรายใหญ่แต่ละบริษัท

นอกจากนี้ ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะเมื่อจีนเปิดประเทศจะยิ่งฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น จะช่วยให้ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะเพิ่มขึ้น และสุดท้ายคือการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมองว่าจะเป็นปัจจัยด้านบวกจากเม็ดเงินสะพัดในช่วงเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งก็คาดหวังว่าจะได้รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องประชาชนเป็นเรื่องหลักโดยจะต้องทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น

ส่วนปัจจัยที่จะบั่นทอนตลาดในปี 2566 มีเรื่องของดอกเบี้ยที่กำลังเป็นช่วงขาขึ้น เรื่องของการไม่ต่อมาตรการผ่อนคลายสินเชื่อที่อยู่อาศัย(LTV) และปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอีกปัจจัยคือความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐที่จะทำให้มีการนำมาตรการกีดกันทางการค้ามาใช้

“อัตราดอกเบี้ยคิดว่าจะปรับขึ้นอีกไม่มาก เพราะเราเริ่มเห็นเพดานของดอกเบี้ยสหรัฐแล้ว ขณะที่แบงก์ชาติของเราก็ขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยคาดว่าในปีนี้จะปรับขึ้นอีก 0.25-0.50% จากปีที่ผ่านมาปรับขึ้นไปแล้ว 0.75% ซึ่งทำให้อำนาจการซื้อของผู้บริโภคหายไปประมาณ 5% ต้องผ่อนมากขึ้น แต่ธนาคารก็พยายามช่วยขยายระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น ทำให้อัตราการผ่อนยังคงเท่าเดิมผู้บริโภคก็ยังสามารถซื้อบ้านได้อยู่ เรื่องของดอกเบี้ยจึงคิดว่าน่าจะเอาอยู่

ส่วนเรื่องของเงินเฟ้อก็น่าจะเริ่มนิ่งแล้ว การเมืองก็มีทั้งภาพบวกและลบ ถ้ามีรัฐบาลใหม่ก็น่าจะเป็นภาพที่ดี เพราะปัญหาของเมืองไทยก็คือเรื่องของการบริหารเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยภายนอกเรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ถ้าไม่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ไม่มีการกดปุ่มนิวเคลียร์ สถานการณ์ก็จะยังทรงตัวอยู่ในสภาพแบบนี้ ราคาพลังงานก็จะอยู่ในระดับนี้ ขณะที่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในอเมริกา ยุโรป จะเกิดขึ้นแน่นอน แต่คิดว่าน่าจะเป็นผลดีกับเรา เพราะจะมาเติบโตที่เอเชีย เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้น อะไรหลายๆ อย่างก็จะเติบโตในเอเชียเพิ่มขึ้น” นายอุทัยให้ความเห็น

ย้อนกลับมาที่การลงทุนในปีกระต่ายของแสนสิริ จะยังคงให้น้ำหนักกับบ้านเดี่ยว ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมยังต้องรอให้นักท่องเที่ยวกลับมา โดยขณะนี้ตลาดคนไทยก็เริ่มดีขึ้น เมื่อรถเริ่มกลับมาติด ค่าน้ำมันแพงขึ้น ค่าเดินทางแพง คนก็เริ่มกลับมาซื้อคอนโด แต่จะให้จุดติดเต็มที่ต้องรอให้นักท่องเที่ยวกลับมา โดยตลาดใหญ่ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวจากจีน

ในปีที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บน ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท คือพระเอก ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจแบบ K-Shaped ที่คนจนจนลง แต่คนรวยกลับรวยขึ้นทำให้สินค้าระดับบนยังขายได้ดี ขณะที่กลุ่มที่ราคาถูกไปเลยก็ยังมีความต้องการอยู่อีกมากแต่ลูกค้ามีปัญหากู้ไม่ผ่านทำให้ต้องขายถึงสองรอบ

ในปีนี้บริษัทจะปรับพอร์ตการลงทุนจากเดิมที่ให้น้ำหนักกับสินค้าในกลุ่ม Affordable และกลุ่ม Medium ประมาณ 60% กลุ่ม Medium Up ประมาณ 40% ปีนี้จะเพิ่มสินค้าในกลุ่ม Medium Up ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปให้มากขึ้น โดยมีสัดส่วนประมาณ 60% ส่วน กลุ่ม Affordable และกลุ่ม Medium จะเหลือ 40% ขณะเดียวกัน จะมีการลงทุนร่วมกับพันธมิตรรายใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างพูดคุยกันซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ส่วนโครงการคอนโดก็ยังมีอยู่บ้างตามดีมานด์ที่มี ซึ่งดีมานด์ในกลุ่ม Affordable ตามนิคมอุตสาหกรรม ตามแหล่งงานขนาดใหญ่ยังมีอยู่อีกมาก แต่อำนาจในการซื้อของผู้บริโภคกลุ่มนี้ลดลง ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น สินค้าในกลุ่มราคาถูกก็จะพยายามทำแพ็คเกจให้ราคาใกล้เคียงของเดิม แต่สินค้าราคาแพงยังสามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อดี

นอกจากนี้ จะเป็นปีที่มีการขยายการลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม ทั้งในจังหวัดที่แสนสิริไปลงทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) ชลบุรี (พัทยา) เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สงขลา (หาดใหญ่) เป็นต้น ส่วนในกรุงเทพฯจะขยายไปในทำเลที่มีศักยภาพที่มีการเติบโตสูง ซึ่งทำเลที่มีการเติบโตได้ดีที่สุดจะยังเป็นกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกเพราะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับอีอีซี ไล่มาตั้งแต่ รามคำแหง กรุงเทพกรีธา พระราม 9 อ่อนนุช บางนา รองลงมาเป็นทางโซนเหนือ โซนตะวันตกและใต้

บริษัทยังมีที่ดินแปลงใหญ่ที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่หรือเป็นเมืองที่อยู่อาศัย แบบเดียวกับที่เราพัฒนาโครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ บนเนื้อที่ 500 ไร่ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ขณะนี้ยังเหลือที่ดินอีกกว่า 200 กว่าไร่ ยังพัฒนาไปได้อีกสัก 4-5 ปี ส่วนที่ดินหลายแปลงอื่น เช่น ที่ราชพฤกษ์ 346 มีประมาณ 200 ไร่ ที่บางพูน รังสิต มีประมาณ 400 ไร่ ก็จะนำมาพัฒนาในรูปแบบเดียวกับกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ ด้วยเช่นกัน

เมื่อบิ๊กเนมอย่างแสนสิริ ประกาศเดินหน้าเต็มสูบ พร้อมกับเป้าหมาย New High ทั้งตัวเลขการเปิดโครงการ ยอดขาย และรายได้ ตลาดอสังหาฯปีนี้ทะลุจุดเดือดแน่นอน