fbpx
บ้านละมุน โครงการอุ่น บางนา กม.26

อสังหาฯภาคตะวันออกบุกเมืองกรุงผุดโครงการเชื่อมต่ออีอีซี

คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทอสังหาฯจากภาคตะวันออก ปักธงขยายการลงทุนเข้าเมืองกรุงเชื่อมต่อพื้นที่อีอีซี ประเดิมผุดทาวน์โฮม “อุ่น” บางนา กม.26 พร้อมลุยอีก 3 โครงการใหม่ในกทม.และพัทยามูลค่าเกือบ 2 พันล้านในปี 66

นายภาค ธนาอัครชล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภาคตะวันออก เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายการลงทุนเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้จะเป็นการพัฒนาโครงการในพื้นที่ภาคตะวันออกในสัดส่วน 70% และพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 30%

“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อีอีซีเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะที่พัทยาเริ่มกลับมาคึกคักหลังจากนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามา แม้ว่าที่ผ่านมาซัพพลายจะมีอยู่จำนวนมาก แต่ก็มีความต้องการซื้อในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาระบายสต๊อกประมาณ 2-3 ปี ขณะที่แผนการลงทุนในพื้นที่อีอีซีหลายอย่างเริ่มมีความชัดเจนและสามารถขับเคลื่อนไปได้อยู่พอสมควร และถ้าการกำหนดโซนนิ่งต่างๆ มีการประกาศใช้การลงทุนจะเข้าอย่างมหาศาล

ขณะเดียวกันพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯและปริมณฑลได้มีการขยายตัวของเมืองมาถึงบางบ่อ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่อีอีซี ทั้งถนนสุขุมวิทสายเก่าและถนนบางนา-ตราด มีทั้งนิคมอุตสาหกรรม และโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเช่น ศูนย์แสดงสินค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจีนได้เข้ามาลงทุนมูลค่านับหมื่นล้านบาท เพื่อใช้เป็นฮับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่บริษัทได้เริ่มขยายลงทุนพัฒนาโครงการในพื้นที่โดยได้เปิดโครงการทาวน์โฮมชื่อว่า “อุ่น” บริเวณถนนบางนา-ตราด กม. 26 ไปเมื่อปีที่ผ่านมา” นายภาคกล่าว

สำหรับโครงการ “อุ่น บางนา กม.26” พัฒนาบนพื้นที่ 25 ไร่ ในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาด 18.53-28.88 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 2.59-4 ล้านบาท จำนวน 273 ยูนิต มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส โดยได้เปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันเปิดขายไปแล้ว 3 เฟส มียอดขายแล้วประมาณ 60% คาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ในปี 2567

ล่าสุดได้ร่วมกับบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MSIG ออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยทรัพย์สินภายในบ้านโดยมีแผนการดูแลให้กับลูกบ้านทุกโครงการแนวราบของบริษัท เพื่อช่วยคุ้มครองความเสี่ยงภัยให้กับลูกค้าผู้บริโภคหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินภายในบ้านที่เกิดจาก 1. ภัยหลัก (ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ลมพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม) 2. โจรกรรม (มีร่องรอยงัดแงะจากการชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์) และ 3. ความรับผิดส่วนบุคคลต่อบุคคลภายนอก เช่น กิ่งไม้ตกใส่หลังคาเพื่อนบ้าน ด้วยประกันภัยวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มครองนานถึง 5 ปี

สำหรับปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ย่านพัทยา 1 โครงการบ้านแฝด ย่านหทัยราษฎร์ 1 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ในย่านบางนา 1 โครงการ โดยมีรวมมูลค่าเกือบๆ 2,000 ล้านบาท และยังมีที่ดินย่านบางบ่ออีก 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 30 กว่าไร่ มีแผนพัฒนาเป็นทาวน์โฮมระดับราคา 2.2-3.7 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วๆ นี้

นายภาคกล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจปี 2566 สถานการณ์ที่น่ากังวลมาจากความอ่อนแรงของเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ประเทศไทยถือว่ายังโชคดีที่ยังมีความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยว ภาคการผลิต การเกษตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละบริษัท โดยจะแข่งขันกันในเรื่องของคุณภาพของบ้านและคุณภาพชีวิตของลูกค้า ซึ่งการทำธุรกิจอสังหาฯนับวันโจทย์จะยากขึ้นเรื่อง บริษัทจึงต้องสร้างโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด เพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัท และเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต รวมทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้า เป็นต้น