fbpx
Villaggio 2 ศรีนครินทร์ บางนา 3

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยับลงทุนเพิ่ม ปี 65 ลุยเปิด 15 โครงการ 2.9 หมื่นล.

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ขยับลงทุนเพิ่ม ในปี 65 เตรียมผุดโครงการใหม่อีก 15 โครงการ เพิ่มขึ้น 50% จากปี 64 มูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท ยังโฟกัสที่ตลาดบ้านแนวราบเป็นหลัก ตั้งเป้าโกยยอดขาย 3.1 หมื่นล้าน และรายได้ 3.3 หมื่นล้าน เผยบ้านเดี่ยวเป็นตัวสร้างรายได้หลักในปี 64 สัดส่วนสูงถึง 83%

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ – ประธานคณะกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีการเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ โดยแบ่งเป็น โครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ

ทั้งนี้ โครงการเปิดใหม่ในปี 2565 แยกประเภทสินค้าออกเป็น บ้านเดี่ยว 11 โครงการ บ้านแฝด 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ (โครงการที่มีสินค้ามากกว่า 1 ประเภท นับแยกออกตามประเภทสินค้า) โดยตั้งเป้ายอดขาย (Booking) ไว้ที่ 31,000 ล้านบาท และเป้าการรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 33,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะขายอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกา และยังหาโอกาสที่จะลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%

ส่วนในปี 2564 บริษัทมียอดขาย แบ่งตามประเภทสินค้า และระดับราคา ได้ดังนี้

บ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบเท่ากับ 97% และคอนโดมิเนียม 3%

เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลัก โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพและปริมณฑลเท่ากับ 92% ขณะที่ยอดขายของโครงการในต่างจังหวัดมีเพียง 8%

ทั้งนี้ ราคาของบ้านที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทและสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนในการก่อให้เกิดยอดขายใกล้เคียงกันที่ 53% และ 47% ตามลำดับ

นับตั้งแต่ต้นปี 2564 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 75 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล 45 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ และมีการเปิดโครงการที่เปิดใหม่ 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 19,680 ล้านบาท โดยไม่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเลย รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2564 มีจำนวนทั้งหมด 85 โครงการ และมีโครงการที่ปิดระหว่างปีจำนวน 11 โครงการ

ดังนั้น ณ สิ้นปี 2564 มีโครงการที่อยู่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 74 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 53,300 ล้านบาท เป็นโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ เมื่อรวมกับโครงการที่จะเปิดใหม่ในปี 2565 อีกจำนวน 15 โครงการ มูลค่ารวม 29,520 ล้านบาท ทำให้มีจำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2565 รวมทั้งสิ้น 89 โครงการ เป็นมูลค่ากว่า 82,900 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยขายอยู่ที่ 7.4 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ 7.6 ล้านบาท

ในปี 2564 บริษัทใช้เงินสำหรับการลงทุนไปจำนวน 9,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 5,100 ล้านบาท และการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3,900 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินลงทุนสำหรับการพัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 1,285 ล้านบาท พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 2,615 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 6 โครงการ และยังมีอีก 1 โครงการที่รอการส่งมอบที่ดิน คือแปลงที่ดิน Peninsula Plaza ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการ Grande Centre Point Ratchadamri 2 และในเดือนธันวาคม 2564 บริษัท LH USA ได้เข้าซื้อโรงแรม The SpringHill Suites by Marriott ในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นการซื้อขาดและได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในที่ดิน พื้นที่ 2.07 เอเคอร์ จำนวนห้องพัก 120 ห้อง ราคา 31 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,056 ล้านบาท

นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ มีจำนวน 50,800 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 101% และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยที่ 2.15%