ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ประเมินตลาดรับสร้างบ้านปีเสือมีโอกาสทั้งได้และเสีย หากรัฐจัดการโอมิครอนได้ไม่ซ้ำรอยปีที่ผ่านมา ควบคู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลาดจะโตได้ 5-7% ชี้ผู้ประกอบการผวาต้นทุนสร้างบ้านพุ่ง พักรบการแข่งขันราคา ขณะที่พีดีเฮ้าส์ วางกลยุทธ์ทั้งรับและรุก เร่งขยายสาขาต่างจังหวัดรองรับดีมานด์ใหม่ๆ ควบคู่กับการลดต้นทุน พร้อมทั้งการรุกขยายงานตกแต่งภายใน ตั้งเป้าปี 65 ยอดขายทะลุ 1,000 ล้าน
ภาวะตลาดรับสร้างปี 64 แนวโน้มและโอกาสปี 65
บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภายใต้แบรนด์ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ โดยฝ่ายพัฒนาธุรกิจ รับสร้างบ้าน รายงานภาพรวมปริมาณบ้านสร้างเองและความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมายังคงซบเซาต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัวในอัตราต่ำมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเกี่ยวกับบ้านและรถยนต์
กระทั่งเริ่มเข้าสู่ในช่วงไตรมาส 4 เมื่อภาครัฐและหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดและประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น พบว่า ผู้บริโภคที่ชะลอแผนสร้างบ้านเอาไว้ เริ่มหันกลับมาเร่งศึกษาข้อมูลและกล้าตัดสินใจสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง สะท้อนได้จากจำนวนยอดขายหรือจองสร้างบ้านของพีดีเฮ้าส์ และกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.)
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญและเป็นตัวเร่งการตัดสินใจสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วงท้ายปีก็คือ การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างและราคาบ้านในปี 2565 จากการส่งสัญญาณของผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการควบคุมของภาครัฐไม่เกิดปัญหาซ้ำอีกในช่วงต้นปี 2565 เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคมีโอกาสจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยคาดว่าความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ของผู้บริโภคและประชาชนที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านปี 2565 สามารถขยายตัว 5-7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
ปัญหา อุปสรรค การปรับตัว และเป้าหมายปีเสือ
บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ต่างมีความวิตกกังวลว่า การตัดสินใจและการแก้ปัญหาของรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือโอมิครอน ที่เริ่มแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายปีเก่าและเริ่มต้นศักราชใหม่ปี 2565 เพราะหากรัฐบาลยังเน้นใช้หลักความมั่นคงนำเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมาย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน จนทำให้เศรษฐกิจชะงักและกำลังซื้อหดตัวอีกรอบ
แน่นอนว่าธุรกิจรับสร้างบ้านคงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวได้ นอกจากนี้บรรดาผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างต่างเตรียมพาเหรดปรับขึ้นราคาในปี 2565 นี้ และจะกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักใจของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะรายที่เน้นแข่งขันราคาต่ำหรือตัดราคา ซึ่งตกลงหรือทำสัญญารับจ้างกับลูกค้าตามต้นทุนวัสดุราคาเดิมไว้ จึงต้องแบกรับต้นทุนวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นเอาไว้เอง อาจประสบปัญหาขาดทุนหนักหรือดำเนินกิจการต่อไปอย่างลำบาก
ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ของพีดี เฮ้าส์ ได้ประเมินปัจจัยบวกและลบที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในปี 2565 แล้ว คาดว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะมีโอกาสกลับมาขยายตัวหรือชะลอตัวได้พอๆ กัน ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมแผนทั้งรุก-รับเอาไว้ และพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ให้ทัน อาทิเช่น การขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการต่างจังหวัดเพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะขยายตัว หรือการปรับโครงสร้างองค์กรให้กะทัดรัด โดยนำซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติงานบนแอพพลิเคชั่น มาใช้ในการจัดการงานหลังบ้าน อันเป็นการลดต้นทุนค่าดำเนินงานและค่าใช้จ่าย สามารถรับมือกับเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามราคา ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับในปี 2565 ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ตั้งเป้ายอดขายบ้านรวมทุกสาขาไว้กว่า 1,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะไม่ฟื้นตัว แต่ยังมั่นใจว่าแผนรุก-รับที่เตรียมไว้จะสามารถแชร์ส่วนแบ่งตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทจากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังรุกขยายรับงานตกแต่งภายในอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมงานตกแต่งภายในไว้อีก 90-100 ล้านบาท
ซีอีโอพีดีเฮ้าส์ แนะทางรอดบริษัทสร้างบ้าน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเสริมว่า ภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ เชื่อว่าจะไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่กังวลกับปัญหาต้นทุนก่อสร้างที่ผันผวนและเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการใช้บริการรับสร้างบ้านมืออาชีพ ส่วนใหญ่จะพิจารณาและให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าราคาที่แตกต่างกันแค่ 5-10%
ดังนั้น ความเชื่อถือและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากผู้ประกอบการที่มีการจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การมีจุดยืนทางธุรกิจ ผลงานในปัจจุบันและที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมีจุดยืนทางธุรกิจนั้น ก็เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และองค์กรหรือแบรนด์จะได้มีความชัดเจนในสายตาของผู้บริโภค
รวมถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมภิบาล ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน การประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและภาษี การคืนกำไรให้สังคม การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เอาเปรียบสังคม ฯลฯ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เช่น นำเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้นเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน ฯลฯ และหลีกหนีออกจากโซนที่มีการแข่งขันรุนแรง อันเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านของตัวเองในมุมมองของผู้บริโภคให้แตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปอย่างชัดเจน