fbpx
1 63 1 e1641356181751

วิกฤติโควิดฉุดอสังหาฯดำดิ่ง REIC ชี้กว่าจะคืนสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลา 4-6 ปี

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้รายงานสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อตลาดที่อยู่อาศัย ทำให้ต้องปรับประมาณการกันใหม่อีกรอบ และคาดว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในภาวะปกติได้ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4-6 ปีเลยทีเดียว

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ประเทศไทยยังประสบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างรุนแรงมากขึ้้นกว่าในไตรมาสแรก ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564 อยู่ในภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่่อง และยังไม่มีความชัดเจนถึงการฟื้นตัวภายในปี 2564

ปรับประมาณการใหม่หลังโควิดกระทบแรง

REIC ได้เฝ้าสังเกตการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า ความกังวลต่อการควบคุุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลโดยตรงต่อการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ การขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ และการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จึงได้มีการปรับการคาดการณ์อีกครั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหม่

ในปี 2564 ภาพรวมการออกใบอนุญาตจัดสรรทั้งปีจะอยู่ที่ 68,357 หน่วย ลดลงร้อยละ -22.1 จากประมาณการเดิมอยู่ที่ 75,842 หน่วย หรือลดลงร้อยละ -13.6% ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปี 2565 ประมาณร้อยละ 25.2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานปี 2564 ที่มีตัวเลขต่ำ โดยที่การออกใบอนุญาตจัดสรรจะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติได้ในปี 2568 (ค่าเฉลี่ยการออกใบอนุญาตจัดสรร 5 ปี ตั้งแต่ 2558-2562 อยู่ที่ 104,000 หน่วย)

ส่วนการเปิดโครงการเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะลดลงมาอยู่ที่ 43,051 หน่วย หรือลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ -35.0 ขณะที่ประมาณการเดิมโครงการเปิดใหม่ในปี 2564 จะอยู่ที่ 62,592 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ -5.5% เป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดมากถึงร้อยละ -44.3 ขณะที่บ้านจัดสรรลดลงร้อยละ -27.4

การเปิดตัวโครงการใหม่จะปรับเพิ่มขึ้นในปี 2565 ถึงร้อยละ 38.5 (เนื่องจากฐานต่ำ) และคาดว่าจะกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติได้ในปี 2568-2569 (ค่าเฉลี่ยการเปิดตัวโครงการใหม่ 5 ปี ตั้งแต่ 2558-2562 อยู่ที่ 100,070 หน่วย)

ขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2564 อาจลดลงเหลือเพียง 270,151 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -24.6 (ห่างจากค่าเฉลี่ย -25.2%) ขณะที่ประมาณการเดิมการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2564 จะอยู่ที่ 320,051 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -10.4

คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 และสามารถกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยในภาวะปกติได้ในปี 2570 (ค่าเฉลี่ยการโอนกรรสิทธิ์ 5 ปี ตั้งแต่ 2558-2562 อยู่ที่ 360,932 หน่วย)

ตามการคาดการณ์ข้างต้น REIC มีมุมมองว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 จะยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับสู่สภาวะสมดุลทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น โดยคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยจะกลับเข้าสู่ภาวะที่ก่อนเกิดโควิด-19 ในราวปี 2568-2570 หรือประมาณ 5-6 ปีข้างหน้า

ดร.วิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ในภาพรวมทั้งประเทศ รวมถึงภาพรวมของ 29 จังหวัดควบคุมพื้นที่สีแดงเข้ม และภาพรวมของพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า การเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่ลดจำนวนลงอย่างมากและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ขณะที่หน่วยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศยังคงชะลอตัว เพื่อรอช่วงโควิด-19 คลี่คลาย โดยในครึ่งแรกของปี 2564 หน่วยที่ได้อนุญาตจัดสรรลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 และมีแนวโน้มลดต่อเนื่องในไตรมาส 3 แต่จะเริ่มกระเตื้องขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564

อุปทานครึ่งแรกและแนวโน้มปี 2564
การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ใน wave 3-4 ทำให้ผู้ประกอบการ ลดปริมาณการขออนุญาตจัดสรรที่ดินลงอย่างมาก โดยในไตรมาส 2 ของปี 2564 มีจำนวนหน่วยที่ขออนุญาตจัดสรรรวม 15,183 หน่วย ลดลงร้อยละ -12.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 และลดลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด (ค่าเฉลี่ย 5 ปี ตั้งแต่ปี 2558-2562 การขออนุญาตจัดสรรที่ดินรายไตรมาสอยู่ที่ 26,000 หน่วย) ถึงร้อยละ -41.6

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จะพบว่า หน่วยการจัดสรรรายเดือนลดลงร้อยละ -37 ถึงร้อยละ -46 ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2564 และเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างในพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 โดยคาดว่า ในไตรมาส 4 ปี 2564 จะเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่คาดว่าทุกไตรมาสจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

ผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อในปัจจุบัน และลดการจัดสรรกลุ่มบ้านราคาต่ำ

ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศลดลงต่อเนื่องจากปี 2563 โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีการออกใบอนุญาตจัดสรรประมาณ 30,514 หน่วย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ทุกไตรมาส ขณะที่การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มซึ่งมีสัดส่วนเป็น 89% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ พบว่า 10 ลำดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ -33.1 โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวน 14,863 หน่วย ในขณะที่ช่วงครึ่งแรกปี 2563 มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจำนวน 25,062 หน่วย ลดลงร้อยละ -40.7

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า เริ่มมีการเปิดตัวโครงการใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ต่อเนื่องจากปี 2562 (ค่าเฉลี่ย 5 ปี ตั้งแต่ 2558-2562 หน่วยเปิดตัวใหม่รายไตรมาสอยู่ที่ 25,018 หน่วย) โดยการชะลอตัวของหน่วยเปิดตัวใหม่ อาจเป็นผลจากยอดขายที่ชะลอตัวและหน่วยเหลือขายสะสมในตลาด

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังทำให้กำลังซื้อของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง โดยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 มีหน่วยเปิดตัวใหม่จำนวน 5,900 หน่วย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดระบาดถึงร้อยละ -76.4 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 หดตัวลงร้อยละ -46.2

คาดว่า ในไตรมาส 3-4 อาจจะเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนหน่วยที่ขายได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเป็นการเปิดโครงการขนาดไม่ใหญ่ และในทุกไตรมาสในปี 2564 หน่วยเปิดตัวใหม่จะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากพอสมควร เนื่องจากผู้ประกอบเน้นการขายสินค้าที่เป็น inventory ในปัจจุบัน ทำให้เปิดโครงการใหม่น้อยลง”

สำหรับในช่วงครึ่งแรกปี 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีโครงการเปิดตัวใหม่สะสมจำนวนทั้งสิ้น 12,740 หน่วย มูลค่ารวม 66,123 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2563 มีโครงการเปิดตัวใหม่ จำนวน 29,816 หน่วย มูลค่า 137,068 ล้านบาท มีการปรับตัวลดลงในส่วนของจำนวนหน่วยร้อยละ -57.3 และปรับตัวลดลงในส่วนของมูลค่าร้อยละ -51.8

ด้านทำเลที่มีโครงการเปิดตัวใหม่สะสมมากที่สุด 5 ทำเล ในช่วง 6 เดือนแรก ประกอบด้วย

  1. เขตบางพลี จำนวน 1,388 หน่วย มูลค่า 6,076 ล้านบาท
  2. เขตห้วยขวาง จำนวน 982 หน่วย มูลค่า 4,797 ล้านบาท
  3. เขตบางใหญ่ จำนวน 846 หน่วย มูลค่า 6,944 ล้านบาท
  4. เขตลาดกระบัง จำนวน 754 หน่วย มูลค่า 3,416 ล้านบาท
  5. เขตวัฒนา จำนวน 692 หน่วย มูลค่า 8,200 ล้านบาท

กลุ่มราคาที่มีการเปิดตัวใหม่สูงสุดคือระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวนถึง 3,843 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 30.2 ของหน่วยที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด

อุปสงค์ครึ่งปีแรกและแนวโน้มปี 2564
ในด้านอุปสงค์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวมส่งผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงในปี 2562-2563 ได้สะท้อนผ่านการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งแรกปี 2564 อย่างชัดเจน โดยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 การโอนกรรมสิทธิ์มีอัตราการขยายตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า

โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศอยู่ที่ 62,072 หน่วย มูลค่ารวม 194,413 หน่วย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีถึงร้อยละ -31.2 และร้อยละ -16.5 ตามลำดับ (ค่าเฉลี่ย 5 ปี ตั้งแต่ 2558-2562 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ต่อไตรมาส อยู่ที่ 90,233 หน่วย และมีมูลค่า 232,859 ล้านบาท)

มีแนวโน้มว่าการโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า แต่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งคาดว่าจำนวนหน่วยและมูลค่าจะปรับตัวสูงขี้นไปใกล้กับค่าเฉลี่ย แต่ในมิติของการขยายตัวเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 จะยังคงติดลบต่อเนื่องทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า อยู่ที่ประมาณร้อยละ -5.7 และร้อยละ -6.2 ตามลำดับ

ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศครึ่งแรกปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 120,023 หน่วย มูลค่า 377,520 ล้านบาท โดยในช่วงเดียวกันของปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 168,625 หน่วย มูลค่า 422,870 ล้านบาท จำนวนหน่วยปรับตัวลดลงร้อยละ -28.8 มูลค่าลดลงร้อยละ -10.7

ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีจำนวน 79,422 หน่วย มูลค่า 284,411 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 88,336 หน่วย มูลค่า 270,435 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -10.1 ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2

คาดว่า ทั้งปี 2564 จะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อยู่ที่ประมาณ 164,861 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -16.2 การโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านจัดสรรลดลงร้อยละ -5.2 ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดลดลงร้อยละ -27.1 ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีประมาณ 587,539 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -4.2 โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านจัดสรรลดลงร้อยละ -0.8 ส่วนโครงการอาคารชุดจะลดลงร้อยละ -8.9

ด้านข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั่วประเทศช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีจำนวน 294,959 ล้านบาท และมีจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างทั่วประเทศ 4,376,788 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปี 2563 มีสินเชื่อปล่อยใหม่จำนวน 280,037 ล้านบาท และมีจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างทั่วประเทศ 4.098,805 ล้านบาท

REIC ได้คาดการณ์ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศปี 2564 จะมีมูลค่าประมาณ 586,040 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -4.3 และมีจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศประมาณ 4,523,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 6.1