fbpx
the palm กรุงเทพกรีฑา วงแหวน maingate 2

พฤกษา เรียลเอสเตท พร้อมทวงบัลลังก์แชมป์อสังหาฯ

พฤกษา เรียลเอสเตท กลับเข้าสู่เส้นทางของการชิงชัยในตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมื่อผลการดำเนินการในไตรมาส 1 เริ่มดีขึ้น หลังจากพยายามปรับแก้ในหลายๆ จุด ที่เคยมีปัญหาในช่วงที่ผ่านมา

แม้ว่ารายได้จากการขายจะยังเป็นรอง เอพี ไทยแลนด์ที่ทำรายได้จากการขายเป็นอันดับ 1 ที่ 8,879 ล้านบาท และ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เข้าป้ายในอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 7,140 ล้านบาท โดยพฤกษา เรียลเอสเตท มาเป็นที่ 3 ด้วยรายได้ 6,888 ล้านบาท ยังสูสีกับอันดับ 4 แสนสิริ ที่มีรายได้ 6,044 ล้านบาท

ถือว่าผลงานในไตรมาส 1 ของ Top 4 ในตลาดอสังหาฯ ยังอยู่ในวิสัยที่สู้กันได้และต้องลุ้นกันในทุกๆ ไตรมาสที่เหลืออยู่ของปีนี้เลยทีเดียว

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้วาง 3 กลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงานปี 2564 ได้แก่ กลยุทธ์การบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีเกือบๆ 80,000 ล้านบาทในปี 2563 ปัจจุบันลดไปกว่า 10,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 70,000 ล้านบาท

ส่วนสินค้าคงเหลือลดลงจาก 23,392 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 เหลือ 11,731 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 หรือลดลงถึง 41% ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างขายลดลงต่อเนื่องจาก 189 โครงการในปี 2562 เหลือ 144 โครงการในไตรมาส 1 ปี 2564

ส่วนในเรื่องของการสร้างคุณค่าโครงการที่พัฒนาโดยใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เราทำได้ค่อนข้างดีในปี 2564 และกลยุทธ์ที่ 3 คือ การ synergy ระหว่างธุรกิจอสังหาฯกับธุรกิจสุขภาพ หลังจากโรงพยาบาลวิมุตอีกหนึ่งขาธุรกิจของพฤกษา โอลดิ้ง ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา

ส่วนแบ่งตลาดเริ่มฟื้น รายได้โตเกินเป้า 
ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาและการขาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญ โปรโมชั่นต่างๆ และการให้ความสำคัญกับการขายผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของพฤกษาเริ่มตีตื้นคืนกลับมา จากปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 7.6% ซึ่งถือเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ต่ำสุดกลับขึ้นมาอยู่ที่ 8.7% ในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของพฤกษา

“ในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 6,940 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายจากทาวน์เฮ้าส์ 51% บ้านเดี่ยว 29% และคอนโดมิเนียม 20% เติบโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และโตจากไตรมาส 4 ปี 2563 ประมาณ 20% โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบที่โตมากกว่าตลาด โดยบ้านเดี่ยวโตเกือบ 60% ทาวน์เฮ้าส์โตเกือบ 30%

ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 6,888 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7% แต่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมายังติดลบลงเล็กน้อย หรือประมาณ 4% โดยมีกำไรสุทธิ 606 ล้านบาท มีอัตรากำไรลดลงจาก 12.8% ในไตรมาส 1 ปี 2563 เหลือ 8.8% ในไตรมาส 1 ปี 2564 เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจาก 35.9% ในไตรมาส 1 ปี 2563 เหลือ 26.7% ในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการเคลียร์สต๊อกที่ทำมาต่อเนื่อง” นายปิยะกล่าว

ไตรมาส 2 ปรับแผนลุยเปิดโครงการเพิ่ม
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 พฤกษา ได้เปิดโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 1,915 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ บ้านเดี่ยว 1 โครงการ และยังคงแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ตามเดิมที่ 29 โครงการ มูลค่ารวม 26,630 ล้านบาท แม้ว่า ในไตรมาส 2 จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 อย่างหนัก บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดโครงการเพิ่มจาก 7 โครงการเป็น 10 โครงการ แบ่งเป็น คอนโด 2 โครงการ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ และทาวน์เฮ้าส์ 3-6 โครงการ มูลค่ารวม 5,000-7,000 ล้านบาท

นายปิยะ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2564 น่าจะเติบโตได้ในระดับ 2% ปลายๆ หรือ 2% กลางๆ ขณะที่ตลาดอสังหาฯโดยรวมได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2563 โดยในไตรมาสแรกของปี 2564 ถือว่าดีมีอัตราการเติบโตสูงถึง 32% แต่ทั้งปีถ้าประเมินแบบค่อนข้าง conservative น่าจะเติบโตประมาณ 5%

โดยในไตรมาสที่ 2 ถือว่าเป็นไตรมาสที่ท้าทายที่สุด เพราะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบที่ 3 แต่ยอดลูกค้าเข้าโครงการของบริษัทก็ตกลงเล็กน้อยหรือประมาณ 80-90% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ และกลับไปเพิ่มขึ้นในส่วนของยอด search engine ที่เพิ่มขึ้นมา 20% บางเซ็กเมนต์โตขึ้นกว่า 30%

“ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเดือนครึ่ง บริษัทมียอดขายเฉพาะเดือนเมษาฯเดือนเดียวกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าน่าจะทำยอดขายได้ดีกว่าไตรมาส 2 ปี 2563 ที่มียอดขายทั้งไตรมาสอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท โดยลูกค้า walk in ก็ถือว่ายังดีอยู่ แต่อาจจะตัดสินใจยาวขึ้น แผนที่เราวางไว้ยังเหมือนเดิมเพียงแต่จะปรับในเรื่องของดิจิตอลให้มากขึ้น ส่วนครึ่งปีหลังจะดีขึ้นแน่นอน หลังจากวัคซีนเริ่มทะยอยฉีดได้มากขึ้น และความร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุตที่เริ่มเปิดให้บริการแล้ว จะมีทำการตลาดร่วมกันในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ” นายปิยะกล่าว

บ้านแนวราบ ขายดี คอนโดต้องพร้อมอยู่
สำหรับในปีนี้เซ็กเมนต์ที่ยังเป็นปัญหาหลักคือเซ็กเมนต์ล่างราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท หรือคนที่มีรายได้หมื่นกว่าบาทจะเป็นเซ็กเมนต์ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และแปรผันไปตามจีดีพี ขณะที่เซ็กเมนต์ระดับบนก็หยุดซื้อไป ส่วนเซ็กเมนต์ที่ดี คือเซ็กมเนต์ที่รองรับคนที่มีรายได้ 3 หมื่นถึง 1 แสน สังเกตได้จากบ้านเดี่ยวที่คนมีรายได้ 5 หมื่น-1 แสนบาท เป็นเซ็กเมนต์ที่ขายดีเติบโตถึง 50%

ในไตรมาสที่ผ่านมา จะพบว่า โครงการที่ขายดีจะเป็น ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งขายได้ดีมาก ส่วนบ้านเดี่ยวจะอยู่ที่ระดับราคา 5-15 ล้านบาท ส่วนคอนโดจะต้องเป็นคอนโดพร้อมอยู่จับกลุ่มเรียลดีมานด์ ราคา 2-5 ล้านบาท ขณะที่พฤติกรรมลูกค้าได้เปลี่ยนไป สิ่งแรกที่เห็นคือการค้นหาข้อมูลผ่านออนไลน์มากขึ้น และศึกษาในตัวสินค้าค่อนข้างละเอียด ดังนั้นอินฟอร์เมชั่นผ่านสื่อดิจิตอลจึงมีความสำคัญมาก

ส่วนในเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะบ้านแนวราบ การดีไซน์ในเรื่องของสเปซเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะลูกค้าใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น รวมถึงเรื่องของสุขภาพ และ ยูนิเวอร์เซล ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ซึ่งทางบริษัทได้ร่วมกับโรงพยาบาลวิมุตในการออกแบบ เพื่อรองรับเรื่องของสุขภาพและผู้สูงอายุ รวมถึงการทำการตลาดร่วมกันหลังจากที่โรงพยาบาลได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา

รพ.วิมุตต่อยอดบริการสุขภาพลูกบ้านพฤกษา
นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุตโฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า โรงพยาบาลวิมุตมีแผนดึงกลุ่มลูกค้าพฤกษาเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลมากขึ้น โดยมอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกบ้านในโครงการพฤกษา อาทิ ส่วนลดค่ายาและค่าห้อง ส่วนลดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้คำปรึกษาแพทย์ผ่านออนไลน์ (Telemedicine) บริการรถพยาบาลฉุกเฉินในระยะทางที่กำหนด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ได้ปรับแผนจากเดิมที่จะขยายคลินิคบ้านหมอวิมุตปีละ 2 แห่ง ได้มีการปรับแผนเป็น วิมุต คอมมูนิตี้ เซ็นเตอร์ โดยการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลสุขภาพชุมชน โดยเลือกทำเลให้สอดคล้องกับโครงการของพฤกษาให้มากขึ้น ปีนี้เริ่มที่สุขภิบาล 2 เป็นศูนย์สุขภาพชุมชน ส่วนโครงการต่อๆ ไปต้องดูสถานการณ์กันอีกครั้ง โดยตั้งเป้าหมายว่าถ้าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติจะเปิดโครงการในรูปแบบของ วิมุต คอมมูนิตี้ เซ็นเตอร์ อย่างน้อยปีละ 1-2 แห่ง

คงต้องดูก้าวต่อไปของพฤกษาหลังการปรับตัวครั้งใหญ่ รวมถึงการ synergy ธุรกิจอสังหาฯกับธุรกิจสุขภาพซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงว่าจะประสบผลมากน้อยเพียงใดกับการสร้างรายได้แบบ win win และจะทำให้ พฤกษา ก้าวมาทวงแชมป์ได้อย่างเต็มตัวหรือไม่ต้องติดตาม