ฟัลครัม เวนเจอร์ส กางแผนลงทุนอสังหาฯฝ่าโควิด-19 เดินหน้าเปิดโครงการบ้านแนวราบเพิ่ม ปักธงโซนตะวันออก พร้อมขยายไลน์ธุรกิจอาหาร เตรียมแต่งตัวเข้าตลาด
รุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างพอดิบพอดี ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของกลุ่ม ฟัลครัม เวนเจอร์ส บริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างกลุ่มทุนในธุรกิจโรงแรมของไทยกับกลุ่มกรีนฟิลด์ แอดไวซอรี่ จากสิงคโปร์ เรียกว่าถ้าสอบผ่านก็คงจะปักหลักอยู่ในธุรกิจนี้ได้แบบยาวๆ
ฟัลครัม เวนเจอร์ส เปิดตัวโครงการแรก พานารา เทพารักษ์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ บนถนนเทพารักษ์ ในช่วงต้นปี 2563 พอเปิดปุ๊บรัฐบาลก็สั่งล็อคดาวน์ในเดือนมีนาคมแบบยังไม่ทันได้ตั้งตัว
“ตอนนั้นเราไม่ได้ชะลอแผนการเปิดโครงการ แต่เปลี่ยนจากรุกมาเป็นการตั้งรับ ขอเวลาดูสักระยะ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่สิ่งที่มั่นใจก็คือตัวโปรดักต์ของเรา จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อพร้อมกับปรับแผนใหม่หมดตั้งแต่ทีมงาน การขายเป็นแบบ new normal เพิ่มทีมขายเข้ามารองรับในช่วงที่เป็น Peak Period เพราะเป็นการนัดลูกค้าเข้ามาชมโครงการ ไม่เหมือนกับลูกค้าที่ walk in จะปล่อยให้ลูกค้ารอไม่ได้ เพราะจะมีผลไปถึง first impression ต่อตัวโครงการ” นายสมศักดิ์ ศรีคุรุวาฬ ผู้อำนวยการ บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์ส จำกัด กล่าว
ด้วยตัวโปรดักต์ และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทำให้ พานารา เทพารักษ์ ในเฟสแรกจำนวน 40 หลัง ปิดการขายไปเรียบร้อย สร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมงานรวมถึงพาร์ทเนอร์จากสิงคโปร์ ที่มั่นใจในตลาดเมืองไทยมากขึ้น แต่ก็ต้องมาเจอกับการระบาดรอบที่ 2 อีกครั้ง
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะ พอเกิดระบาดรอบ 2 ทำให้เราไม่กังวล และได้นำประสบการณ์จากรอบแรกมาปรับใช้ และด้วยความมั่นใจในตัวโครงการและตลาด เราจึงปรับแผนใหม่ในการทำตลาดโครงการพานารา เฟส 2 เป็นการสร้างให้เสร็จก่อนขาย พร้อมเข้าอยู่อาศัยจำนวน 56 หลัง ตอนนี้ในเฟสที่ 2 ก็สามารถขายไปได้แล้ว 16 หลัง” นายสมศักดิ์กล่าว
สำหรับโครงการพานารา เทพารักษ์ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น ระดับราคา 7-19 ล้านบาท จำนวน 129 หลัง บนเนื้อที่ 30 ไร่ติดถนนเทพารักษ์ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี สมุทรปราการ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท แบ่งโครงการเป็น 3 เฟส เฟสแรก 40 หลังปิดการขายแล้ว รอส่งมอบในไตรมาส 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการขายในเฟส 2 จำนวน 56 หลัง คาดว่าจะส่งมอบได้ในไตรมาสที่ 4 ส่วนเฟสที่ 3 ก็พร้อมจะเปิดขายต่อเนื่องหลังจากเฟสที่ 2
นอกจากโครงการพานารา เทพารักษ์ แล้ว ในปี 2564 ฟัลครัม เวนเจอร์ส ยังเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ พานารา ลาดกระบัง บนทำเลบางนา-ตราด กม.13 เนื้อที่ 56 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 50-150 ตารางวา แบ่งการพัฒนาเป็น 4 เฟส ราคา 6.5-18 ล้านบาท จำนวน 227 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท
“คาดว่าจะเปิดขายในเฟสแรกจำนวน 60 หลัง ในไตรมาส 3 นี้ โดยจะเป็นบ้านที่สร้างเสร็จ พร้อมขาย พร้อมอยู่อาศัย และพร้อมกับคลับเฮ้าส์ ที่สร้างเสร็จพร้อมกัน ซึ่งจากการเปิดขายบ้านพร้อมอยู่ทั้ง 2 โครงการ บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 550-600 ล้านบาท ส่วนยอดขายตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท”
ต้องยอมรับว่า การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้มีความรุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาแข่งในทุกตลาด ซึ่งการจะแข่งกับรายใหญ่ได้ก็ต้องทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ ฟัลครัม เวนเจอร์ส เลือกที่จะลงทุนกับการสร้างบ้านให้เสร็จก่อนขาย
“ความได้เปรียบของเราคือเราสร้างให้เสร็จ ทำให้ลูกค้าเห็นโปรดักต์ ให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สามารถเข้ามาดูบ้าน เลือก ตัดสินใจซื้อ พร้อมโอนได้ทันที การทำแบบนี้ถึงจะสู้กับแบรนด์ใหญ่ได้” นายสมศักดิ์กล่าว
ขณะที่ตัวโปรดักต์ ก็จะเน้นในเรื่องของการออกแบบ และคุณภาพ เอาประสบการณ์จากการทำโรงแรมมาปรับใช้ในการพัฒนาแบบบ้าน ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็มีผลต่อพฤติกรรมการใช้พื้นที่ทั้งภายใน ภายนอกบ้าน
อย่างโครงการ พานารา ลาดกระบัง ซึ่งมีการเปลี่ยนแบบบ้านใหม่เกือบทั้งหมด เราก็ดีไซน์ห้องทำงานเอาไว้ในบ้านให้เลย และพยายามออกแบบบ้านให้น่าอยู่มากขึ้น เพราะผู้บริโภคจะต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงต้องทำให้การอยู่บ้านไม่น่าเบื่อทั้งในบ้านเอง และพื้นที่ส่วนกลาง เหมือนการดีไซน์ของโรงแรม ให้มีมุม มีพื้นที่ที่น่าอยู่ อยู่สบาย อย่างบ้านหลังเล็ก บางหลังเรายังใส่สระน้ำเข้าไป ให้เหมือนนั่งอยู่ที่รีสอร์ตแล้วทำงานไปด้วย เป็นสิ่งที่เราเพิ่มเข้าไปเยอะมากในแบบบ้านใหม่”
นายสมศักดิ์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจัยหลักๆ ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านมีอยู่ 3 เรื่อง ก็คือ ทำเล พื้นที่ส่วนกลาง-พื้นที่สีเขียว และตัวบ้าน เมื่อก่อนลูกค้าอาจจะให้ความสำคัญกับตัวบ้านมากหน่อย แต่ปัจจุบัน ทั้ง 3 เรื่องลูกค้าให้ความสำคัญเกือบเท่าๆ กัน เพราะลูกค้าต้องการสังคมที่น่าอยู่ และการแข่งขันของดีเวลลอปเปอร์ในเรื่องนี้ก็มีมากขึ้น บริษัทจึงให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของโครงการ พื้นที่สีเขียว และการบริการที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายอยู่กับบ้าน
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนา คอนวีเนียน มอลล์ พื้นที่ 2,000-4,000 ตารางเมตร ไว้รองรับผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียง มีร้านค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มีร้านกาแฟ เอาไว้เปลี่ยนบรรยากาศในการนั่งทำงาน ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ก็ได้เตรียมพื้นที่ไว้ โดยที่พานารา เทพารักษ์ จะเป็นคอนวีเนียน มอลล์ พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ส่วนที่ พานารา ลาดกระบัง มีพื้นที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยประมาณ 4,000 ตารางเมตร ส่วนอีกโครงการที่มีแผนจะเปิดตัวในอนาคต ได้แก่ อาโณณา บางบ่อ ก็จะมีคอนวีเนียน มอลล์ ขนาด 3,000 ตารางเมตรด้วยเช่นกัน
โครงการอาโณณา บางบ่อ เป็นอีกหนึ่งโครงการในพื้นที่ฝั่งตะวันออกที่ฟัลครัม เวนเจอร์ส มีแผนจะเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่บริษัทวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นในการปักธงในทำเลฝั่งตะวันออกเป็นหลัก โดยมองเห็นศักยภาพโซน Greater Bangna คือทำเลทองแห่งอนาคต
ผมเคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการมาก่อน และเคยพัฒนาโครงการเล็กๆ ก่อนมาทำธุรกิจโรงแรม พอได้เงินมาก็ซื้อที่ดินเก็บไว้ในโซนตะวันออก เราเก็บที่ดินไว้หลายแปลง เพราะมองเห็นศักยภาพของโซนตะวันออกในอนาคตที่จะเชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC”
จากการประมวลผลข้อมูลของบริษัท โซน Greater Bangna มีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ทำเลที่ตั้งแห่งนี้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายๆ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ย้ายสถานที่ตั้งเข้ามายังบริเวณนี้ ส่งผลให้ฉุดราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
จากข้อมูลเพียงแค่ในช่วงปี 2560-2561 ราคาที่ดินถีบตัวสูงขึ้นถึง 9% และเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เข้ามาในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภายในปี 2573 ราคาอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้น 50% อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในพื้นที่ก็มีสูงขึ้นด้วย อย่างที่ดินตรงบางบ่อ ซึ่งทางบริษัทซื้อมานานแล้ว ในตอนนั้นยังไม่มีใครมาเปิดโครงการ แต่ตอนนี้รอบๆ ที่ดินที่ซื้อไว้มีโครงการมาเปิด 5-6 โครงการ บริษัทจึงเลื่อนแผนการเปิดโครงการ อาโณณา บางบ่อ ซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ และบ้านแฝด ออกไปจากแผนเดิมจะเปิดขายทาวน์เฮ้าส์ในไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นประมาณต้นปีหน้า โดยจะขอดูการแข่งขันในตลาดก่อนจะได้วางกลยุทธ์ได้ถูกต้อง
นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วฟัลครัม เวนเจอร์ส ยังมองไปถึงการขยายไปยังธุรกิจอื่น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และขยายโอกาสในการลงทุน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ฟัลครัม เวนเจอร์ส คือโฮลดิ้ง คัมปะนี มีธุรกิจหลักเป็นอสังหาริมทรัพย์ในสัดส่วน 80-85% และขยายขาออกไปในธุรกิจอื่นๆ ที่มีโอกาส เอามาเลี้ยงให้โต เมื่อดูแลตัวเองได้แล้วค่อยแตกออกไป อย่างตอนนี้เราก็เริ่มแตกไลน์เข้าไปในธุรกิจ Food and Beverage ซื้อเชนมาจากสิงคโปร์ เป็นร้านในสไตล์ Pub and Restaurant ชื่อว่า Finch”
ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่อยู่ได้ตลอด เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ และสามารถซัพพอร์ตธุรกิจอสังหาฯได้ด้วย คาดว่าจะเปิดช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ของโรงแรม โดยตั้งเป้าว่าจะเปิดปีละ 1-2 สาขา
ขยับไปที่แผนระยะ 3-5 ปี สำหรับฟัลครัม เวนเจอร์ส ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะนำพาบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่ามีความพร้อมอยู่แล้ว แต่การเข้าตลาดของ ฟัลครัม เวนเจอร์ส จะต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสมทุกอย่าง มีองค์กรที่แข็งแรง มีธรรมมาภิบาล เมื่อเข้าไปแล้วจะต้องโตต่อไปให้ได้
“เพราะการผลักเรือใหญ่ต้องใช้พลังที่มากขึ้น จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด” นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม
-จับตา “บางนา” ทำเลทองที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม
ติดตามช่อง Property Mentor Chanel ทาง YouTube
Property Mentor Line Official: https://lin.ee/nE9XYOo4