fbpx
147046467 128390885824417 618988944069831227 o 1 e1613500045611

ทาวน์เฮ้าส์ โลว์คอสระอุ เอ็น.ซี. ส่งแบรนด์ใหม่ลุยตลาด 1.5 ล้านอัพ

ทาวน์เฮ้าส์ ราคาประหยัด ร้อนระอุ เอ็น.ซี. ปั้นแบรนด์ใหม่เจาะเซ็กเมนต์ 1.5 ล้านอัพ พร้อมกางแผนลงทุนปี 64 เตรียมเปิด 7 โครงการใหม่บ้านแนวราบ มูลค่ารวม 5,000 ล้าน ตั้งเป้าขายปี 64 ทะลุ 3,500 ล้าน

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทจะดำเนินธุรกิจในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการขยายทำเล และขยายเซ็กเมนต์ในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมทั้งการพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภค เพิ่มความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้มากผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย

1.การเปิดตลาดเชิงรุก พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่ม 7 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ทั้งโครงการทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดบ้านแนวราบในปัจจุบัน โดยจะเพิ่มสัดส่วนของทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้นในหลายทำเล พร้อมกับขยายเซ็กเมนต์ของทาวน์เฮ้าส์ในทำเลที่ต้นทุนที่ดินสามารถพัฒนาโครงการในระดับราคา 1.5-2 ล้านบาทได้  ขณะเดียวกัน บริษัทจะขยายทำเลเพิ่มให้ครอบคลุมพื้นที่ 4 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ โซนเหนือ โซนตะวันตก โซนใต้ และตะวันออก ของกรุงเทพฯและปริมณฑล

“ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในการวางกลยุทธ์ด้านเซ็กเมนต์ที่สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการบ้านในยุคโควิค-19 ในราคาที่จับต้องได้ โดยวางแผนตั้งแต่การซื้อที่ดิน การออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดทอนสิ่งที่เกินความจำเป็น และเพิ่มกำลังการผลิตบ้านด้วยระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยและรวดเร็วขึ้น โดยมีสินค้าภายใต้แบรนด์ บ้านฟ้ากรีนเนอร์รี่และบ้านฟ้ากรีนพาร์ค เป็นเรือธงเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และยังขยายฐานลูกค้าใหม่ ตลาดใหม่ ด้วยแบรนด์ใหม่ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับบริษัท” นายสมนึกกล่าว

อนึ่ง บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เตรียมที่จะเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ใหม่ บ้านฟ้ากรีนพาร์ค ธาม ที่ลำลูกกาคลอง 7 ในราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท ขณะที่มีผู้ประกอบการอีกหลายรายเตรียมจะเปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์ราคาประหยัดตั้งแต่ 1-2 ล้านบาท ภายในปีนี้เช่นกัน

ทาวน์เฮ้าส์

 

2.การพัฒนาโปรดักส์ ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัย a///gen ควบคู่การพัฒนาต่อยอดสินค้าด้วยนวัตกรรมผ่าน Smart Eco และ Smart Care เพิ่มความแตกต่าง Function ที่ตอบรับครอบครัววิถีใหม่ ที่ต้องการใช้พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกบ้านมากขึ้น เพิ่มทางเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย ผสานเทคโนโลยีที่ทำให้ชีวิตในบ้านสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมกับการดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวยุค New Normal

3.การผนึกพันธมิตร ในธุรกิจหลัก อาทิ พันธมิตรในด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี่ของบ้าน พันธมิตรด้านการเงิน ซึ่งได้มีการเจรจากับธนาคารหลายแห่งให้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้ลูกค้าสามารถซื้อบ้านได้ รวมถึงพันธมิตรธุรกิจการบริการต่างๆ ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมทุนกับพันธมิตรในธุรกิจใหม่ เปิดศูนย์บริการด้านการฟื้นฟูสุขภาพ และดูแลผู้สูงอายุ มีการบริการเพื่อรองรับเรื่องสุขภาพ ครบวงจร Wellness & Healthcare Business เพื่อเป็นฐานรายได้ธุรกิจในอนาคต ด้วยมาตรฐานทันสมัย ปัจจุบันมีการให้บริการแล้ว 3 ศูนย์ด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Vacation Time

นายสมนึก กล่าวต่ออีกว่า แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้การขยายตัวของ GDP ในปี 2563 ติดลบถึง 6.1% ซึ่งเป็น GDP ที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี และสร้างผลกระทบให้กับหลายอุตสาหกรรมในระดับที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีบางเซ็กเตอร์ที่ได้รับผลกระทบในเชิงบวก อย่างเช่นที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นและเป็น real demand ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้เรียนรู้จากวิกฤตโควิด-19 และได้ปรับตัว ทั้งเรื่องการบริหารต้นทุนในองค์กร การพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ ทำให้ในปี 2563 บริษัทมียอดขายรวม 3,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2,700 ล้านบาท ประมาณ 30%

ส่วนในปี 2564 คาดการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท และยังคงเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อบ้านแนวราบ ด้วยปัจจัยบวกทั้งอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านที่ลดลงและจากมาตรการของภาครัฐ ประกอบกับ การแข่งขันในตลาดบ้านแนวราบที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลดีให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งจากการที่บริษัทรุกขยายโครงการในแนวราบเพิ่มขึ้น และการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเซ็กเมนต์ใหม่ สร้างฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น ด้วยสื่อการตลาดออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้าน และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่แนวราบอีก 7 โครงการ บริษัทจึงตั้งเป้ายอดขาย 3,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 2,000 ล้านบาท