fbpx
1 22

บ้าน-คอนโดมือสองทะลัก “อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่ง” แตกไลน์ขายมือหนึ่ง

โควิด+ภาษีที่ดิน ดันซัพพลายบ้าน-คอนโดมือสองทะลักตลาด การแข่งขันรุนแรง แถมราคาตก 20% “อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้” ปรับพอร์ต แตกไลน์บริหารการขายโครงการมือหนึ่ง

นายสรังสี นันทพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทตัวแทนนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์มือสอง เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้มีผู้นำทรัพย์มือสองมาให้บริษัทเป็นตัวแทนขายสูงขึ้นมาก เพื่อต้องการลดภาระภาษี และเก็บเงินสดสำรองไว้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว

“ปกติจะมีผู้นำทรัพย์มือสองมาให้บริษัทขายต่อเดือนประมาณ 30-40 รายการ แต่ปัจจุบันสูงถึง 500 รายการต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยมีทั้งส่วนที่มีผู้นำมาฝากขายโดยตรง และในส่วนที่บริษัทหามา และเป็นที่น่าสังเกตว่า มีผู้นำทรัพย์มาให้เช่าเพิ่มขึ้น จากเดิมส่วนใหญ่จะเป็นการฝากขาย แต่ปัจจุบันสัดส่วนการนำทรัพย์มาให้เช่าเพิ่มเป็น 30% และขาย 70% โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทบริหารทรัพย์อสังหาฯมือสองประมาณ 4,000 ยูนิต มูลค่าการขาย 12,000 ล้านบาท คาดสิ้นปี 2563 จะเพิ่มเป็น 5,000 ยูนิต มีมูลค่าการขาย 15,000 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีทรัพย์เข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่ก็ขายได้ยากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีการต่อรองจากผู้ซื้อที่สูงมาก เพราะผู้ซื้อมีความคิดว่า ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ต้องได้ราคาที่ถูก และมีตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่จะดูทรัพย์แค่ 2-3 รายการเพื่อเปรียบเทียบปัจจุบันเลือกดูเป็น 10 รายการ ขณะที่ผู้ขายก็ต้องการขายในราคาที่มีกำไรจึงไม่ยอมลดราคา แต่โดยภาพรวมราคาขายในตลาดตกลงประมาณ 20%

จากการแข่งขันที่รุงแรงทำให้บริษัทตัวแทนต้องปรับตัว โดยบริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การบริหารการขายให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมมือหนึ่ง โดยในปีนี้มีโครงการที่บริษัทเข้าไปรับบริการการขายแล้ว 4 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

โครงการ ซันทูมูน เรสซิเดนท์ ตั้งอยู่หลังบิ๊กซี จังหวัดอยุธยา บนเนื้อที่รวม 11 ไร่ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น 7 อาคาร รวมทั้งสิ้น 553 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทเข้าไปช่วยปรับรูปแบบโครงการจากเดิมที่เน้นกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณอายุ ปรับมาทำตลาดกลุ่มลูกค้าทั่วไป ระดับราคา 1.99 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 53 ตร.ม. โครงการที่ 2 คือ โกรว รัตนาธิเบศร์ ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT ไทรม้า รูปแบบคอนโดฯสูง 34ชั้น บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ จำนวน 364 ยูนิต มูลค่าโครงการเหลือขายกว่า 1,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้เข้าไปบริหารโครงการขนาดเล็กให้แก่ผู้ประกอบการ เช่น โครงการบ้านแฝดขนาดเล็กในซอยรามคำแหง 118 ประมาณ 30 ยูนิต และโครงการคอนโดฯยูนิตเหลือขายติดรถไฟฟ้า BTS ปุณวิถี ประมาณ 30 ยูนิต โครงการเหล่านี้ มีงบประมาณในการทำตลาดที่ค่อนข้างจำกัด จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการ เพื่อให้งบประมาณที่ใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนโครงการสุดท้ายภายในสิ้นปีนี้ เป็นโครงการใหม่ที่บริษัทฯได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานแบบครบวงจร โดยจะมีการใช้เทคโนโลยี่ ทั้งด้านการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การวางแผนงานด้านการตลาดและการขาย เป็นโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บริเวณเกษตร นวมินทร์ พัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท คาดเริ่มโครงการได้ปลายปี 2564 ส่วนเป้าหมายปี 2564 บริษัทฯตั้งเป้าเข้าไปบริหารโครงการเพิ่มอีก 10 โครงการ เน้นในพื้นที่รอบนอกเมือง

นายสรังสี กล่าวถึงการสร้างจุดแข็งในการรุกบริหารโครงการใหม่ว่า จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่อง การวิจัย และการศึกษาความเป็นไปได้ของทั้งโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เช่นการใช้ Big Data เพื่อให้เกิดความถูกต้องและแม่นยำ ในการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการ ทั้งนี้ บริษัทได้มีความร่วมมือกับ Data Tech Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารข้อมูลในการพัฒนาระบบ จะช่วยสร้างความได้เปรียบในธุรกิจโบรกเกอร์ คือ เรื่องของความลึกของข้อมูล เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ความได้เปรียบของเราคือ เรายืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่า ทำให้สามารถแทรกเข้าไปตลาดการบริหารการสำหรับลูกค้าโครงการที่มีขนาดกลางและเล็กหรือมีงบประมาณจำกัดได้ ซึ่งกลุ่มอินเตอร์แบรนด์ จะไม่เข้ามาจับกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากนัก เนื่องมาจาก Budget และ Scale ของลูกค้าไม่ได้ใหญ่มากพอ รวมถึงการนำข้อมูลมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร เป็น Data-driven Business โดยมีการนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) และการทำเหมืองข้อมูลรวมถึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่างๆ เช่น เทคโนโลยี AI มาช่วยสนับสนุนการบริการ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า” นายสรังสี กล่าว

สำหรับในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าจะขยายงานบริหารการขายโครงการเพิ่มอีก 10 โครงการ โดยเน้นในพื้นที่รอบนอกเมือง และจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว รวมถึงมีแผนการนำโครงการไปทำตลาดในต่างประเทศฝั่งทวีปยุโรปในอนาคต ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจด้านตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมมือสองนั้น บริษัทยังคงให้ความสำคัญอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดจะมีการแข่งขันกันสูงมากๆ แต่พร้อมที่จะขยายงานเพิ่ม ทั้งในการหาทีมเข้ามาเสริมทัพ รวมทั้งหาสินค้าเข้ามาเพิ่มในพอร์ตให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย