เปิดตัวครั้งแรกหลังจากควบรวมเอาบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ โกลเด้น แลนด์ เข้าร่วมชายคาธุรกิจเดียวกันในนาม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) กลายเป็นธุรกิจ 3 ประสาน ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ภายใต้ One Platform เพื่อการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การมีธุรกิจที่หลากหลายจะกระจายความเสี่ยง (Diversification) ได้ดีกว่าการมีธุรกิจซื้อมาขายไปเพียงอย่างเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ธุรกิจหยุดชะงักจนบริษัทอสังหาฯขาดกระแสเงินสด ถ้าเรามีธุรกิจอื่นก็สามารถสร้างกระแสเงินสดให้เราได้ เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ทำให้ธุรกิจโตได้อย่างยั่งยืน
“การมีธุรกิจที่หลากหลายสามารถสร้างรายได้ได้จากหลายช่องทาง และมีรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่มากขึ้นจะทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการได้อย่างยืดหยุ่นและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่ท้าทายได้เป็นอย่างดี (Resilience) ซึ่งทุกบริษัทอยากมีโมเดลธุรกิจในลักษณะนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ เพราะต้องใช้เวลาและฐานเงินทุนที่แข็งแรง”
นอกจากนี้ ยังสามารถสร้าง Ecosystem ทางธุรกิจที่สนับสนุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันได้ และยังเพิ่มขีดความสามารถในการส่งมอบสินค้าและบริการ พร้อมข้อเสนอทางการตลาดที่แตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าต่างชาติที่มาเช่าโรงงานหรือคลังสินค้า ก็เป็นโอกาสให้เสนอขายที่อยู่อาศัยไปในคราวเดียวกันได้ หรือการแชร์ที่จอดรถในพื้นที่พาณิชยกรรมร่วมกัน เป็นต้น
ที่สำคัญคือ การเชื่อมโยงข้อมูลของทั้ง 3 ธุรกิจถึงกัน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม รวมถึงยังสร้าง economy of scale ทำให้ประหยัดต้นทุน และเพิ่มอำนาจต่อรองทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเราจะนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯไทย ผสานเข้ากับความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ สิงคโปร์ มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า” นายธนพลกล่าว
ทั้งนี้ การรวม 3 ธุรกิจ เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จะทำให้บริษัทมีมูลค่าทรัพย์รวมกันถึง 1 แสนล้านบาท และคาดว่าในปี 2563 จะมีรายได้รวม 20,000 ล้านบาท โดยใน 3 ปีแรก จะขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ One Platform โดยจะดำเนินตามแผน 3 ขั้น ONE-TO-THREE
- ในปีแรก ONE platform จะต้องผสาน 3 องค์กรให้รวมเป็นหนึ่ง ให้มีรากฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบต่างๆ ภายในองค์กร การสร้างวัฒนธรรมองค์กร สร้างแบรนด์องค์ร
- ในปีที่ 2 TOwards being a trusted brand จะขยับสู่การสร้างการเติบโตในแต่ละธุรกิจ การสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์
- ในปีที่ 3 the top THREE in all asset classes มุ่งสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับ Top 3 ของทุกกลุ่มธุรกิจ ภายในปี 2566
สำหรับหัวหอกหลักในการสร้างรายได้ให้กับเฟรเซอร์ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ซึ่งยังมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 70-80% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้ระยะยาว หรือ Recurring Income จากกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม อยู่ในสัดส่วน 20-30% ซึ่งในระยะ 5 ปีนับจากนี้จะเพิ่มสัดส่วน Recurring Income ให้เป็น 30-40% เพื่อความมั่นคงในระยะยาว
นายธนพล กล่าวอีกว่า ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” ปัจจุบันอยู่ใน Top 5 ของตลาด พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันตลาดบ้านแนวราบยังไปได้ดี แต่การแข่งขันสูง จึงต้องพยายามสร้างความแตกต่าง ซึ่งบริษัทยังมีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบสำหรับการซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ปีละประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม – กันยายน) มีรายได้รวม 11,100 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ถือว่ายังเป็นธูรกิจที่ยังไปได้ดีจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ช ที่ต้องการเช่าคลังสินค้า โดยใ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยุคใหม่ มีรายได้ 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม – กันยายน) รวม 1,700 ล้านบาท โดยจะมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล” อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชยกรรมชั้นนำประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า รีเทล โรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ รวมถึงโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้แก่ สามย่านมิตรทาวน์ อาคารเอฟวายไอ อาคารสาทรสแควร์ อาคารปาร์คเวนเชอร์ อาคารโกลเด้นแลนด์ โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ และ ดิ แอสคอท สาทร แบงคอก เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด -19 บริษัทพยายามรักษาลูกค้าไว้ให้ได้มากที่สุด และยังต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นตัว แต่บริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนเพิ่ม โดยการซื้ออาคารสำนักงานเข้ามาเพื่อเพิ่มรายได้จากการเช่า สำหรับใน 9 เดือนแรกกลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล” มีรายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท
“ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวจากการแพระระบาดของไวรัสโควิด-19 และความไม่แน่นอนทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้ดีมานด์ชะลอตัวลง ซึ่งการปรับตัวสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กรภายใต้กลยุทธ์ One Platform ควบคู่ไปกับการควบคุมค่าใช้จ่าย จะทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ โดยจะยังคงรักษาระดับรายได้ในปี 2564 ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ก็ตาม” นายธนพลกล่าว