WDC ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้ากระเบื้องปูพื้น และผนัง ในตลาดพรีเมี่ยม มากว่า 16 ปี เตรียมจะรุกตลาดครั้งใหญ่ หลังจากยื่นขอเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI และคาดว่าจะเริ่มเทรดได้ในไตรมาสที่ 3 นี้ โดยตั้งเป้าเติบโตปีละ 8-10% แม้าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ WDC กล่าวว่า เราเป็นสินค้าอุปโภค จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่อาจจะมีปัญหากับแหล่งผลิตในบางประเทศบ้าง ซึ่งเราก็มีสต๊อกรองรับอยู่แล้ว และได้มีการจัดทีมพิเศษเข้ามาบริหารจัดการสต๊อก เพราะเป็นส่วนสำคัญต่อการบริหารต้นทุน
ขณะที่ตลาดผนัง และพื้นสำเร็จรูป มูลค่าประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท ปกติจะเติบโตอยู่ปีละ 3-5% แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาดชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดจะทรงตัว แต่บริษัทยังคงเดินหน้าขยายโอกาสการลงทุน และมุ่งรักษากำไรให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี ด้วยประสบการณ์กว่า 16 ปี ทำให้เข้าใจความต้องการลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้สามารถสร้างความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์ (Product Differentiate) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็น ลวดลายของสินค้าที่โดดเด่นแตกต่างและมีเอกลักษณ์ (Unique Design) ความสวยงามของสินค้า (Beauty) และความทันสมัยของสินค้า (Trendy) ที่เข้ากับยุคสมัยรวมไปถึงเทรนด์ตลาดและเทรนด์โลก นอกจากนี้ บริษัทยังจำหน่ายสินค้าหลากหลายวัสดุ และหลากหลายราคาตั้งแต่ 200-10,000 บาทต่อตารางเมตร เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกรูปแบบ โดย WDC ได้นำเข้าสินค้าโดยตรงจาก 7 ประเทศทั้งจากยุโรปและเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย อิตาลี สเปน มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย
ในส่วนของแผนการลงทุนจะมีการขยายสาขาให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้า และขยายตลาดให้มากขึ้นทั้งในประเทศไทย และขยายสู่อาเซียน โดยปัจจุบัน WDC มี Showroom ทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ Crystal Design Center (CDC), นิมิตใหม่, หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต และล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 15 ล้านบาทเปิดสาขาที่ พัทยา และมีแผนที่จะเปิดสาขาที่ 7 เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าในโซนบางนา ตั้งอยู่ที่โครงการ For You Park จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563
สาขาที่พัทยา ถือเป็นการปักธงในพื้นที่ EEC ของบริษัท เนื่องจากในพื้นที่ พัทยา เมืองชลบุรี สัตหีบ ศรีราชา ถือว่าเป็นโซนที่มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวมากที่สุดในประเทศ จึงเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปขยายตลาดในพื้นที่ โดยมี Showroom ที่พัทยาเป็นเรือธง ภายใต้ Concept “The Best Customer Experience” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าได้เกิด Idea และต่อยอดการตกแต่งบ้านหรือการเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ คุ้มค่า คุ้มราคา แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ที่มีต่อสินค้าอีกด้วย
ส่วนในอาเซียนบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาที่อินโดนีเซีย ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า และกำลังระหว่างเจรากับพันธมิตรในพื้นที่เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดสาขาได้ภายในปีหน้าเช่นกัน
”WDC ไม่เพียงแต่เพิ่มศักยภาพในการลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่ยังเล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายธุรกิจและเติบโตในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) จึงเริ่มต้นขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน และเพิ่มโอกาสในการเติบโตระยะยาว โดยการเปิด Branch Office ในประเทศอินโดนิเซีย ประเทศเวียดนาม และประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างดี”
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า ตั้งเป้าว่าตั้งแต่ปี 2564-2566 บริษัทจะเปิดสาขาให้ได้ 12 สาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้งบลงทุนสาขาละ 5-20 ล้านบาท ส่วนเป้ายอดขายในปีนี้ตั้งไว้กว่า 700 ล้านบาท หลังจากปีที่แล้วมียิดขาย 670 ล้านบาท และปี 2561 มียอดขาย 614 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทจะเน้นการลงทุนในการสร้างแบรนด์ และสร้างการรับรู้ ผ่านทั้งสื่อออฟไลน์ และออนไลน์ ควบคู่กับการให้ความรู้กับผู้บริโภค และการขยายเฮ้าส์แบรนด์เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันมีอยู่ 4-5 แบรนด์ หรือคิดเป็น 20% ของสินค้าทั้งหมด ขณะที่ 80% เป็นแบรนด์จากต่างประเทศที่นำเข้ามาจำหน่าย
ปัจจุบัน WDC มีกลุ่มสินค้าแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม มากกว่า 3,000 sku ได้แก่ 1.กลุ่มสินค้ากระเบื้อง (Tile) ซึ่งมีทั้งเซรามิก และ Porcelain 2. กลุ่มสินค้าวัสดุทดแทนกระเบื้อง (Non-Tile) ได้แก่ Vinyl, SPC, ไม้ Laminate และ Engineering Wood 3. กลุ่มสินค้า Mosaic ซึ่งมีทั้ง Porcelain และ Glass Mosaic 4. กลุ่มสินค้า Big Slab คือกระเบื้องแผ่นใหญ่ ได้แก่ Marble Tile, Quartz Stone และ 5. กลุ่มสุขภัณฑ์ (Sanitary Ware) ซึ่งมีทั้งก๊อกน้ำ อ่างอาบน้ำ ฝักบัว โถสุขภัณฑ์
สินค้าที่ขายดีในกลุ่มกระเบื้อง (Tile) จะเป็นพวกสี Monochrome ซึ่งเป็นโทนสีเทา (ทั้งอ่อน และ เข้ม) และโทนสีขาว ที่ตอบโจทย์สไตล์บ้านที่กำลังเป็นที่นิยม ทั้งสไตล์ Modern และ Contemporary ส่วนสินค้าขายดีในกลุ่มวัสดุทดแทนไม้ (Non-Tile) จะพวกสีโทนเย็น เช่น สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเทา ที่ให้ความรู้สึก Modern แต่เย็นตา สำหรับเทรนด์ในปีนี้ยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อม และสินค้ารองรับกลุ่มผู้สูงวัย
“บริษัทใช้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) มีความเข้าใจความต้องการลูกค้าอย่างลึกซึ้ง จึงสามารถสร้างความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์ (Product Differentiate) โดยพัฒนาวัสดุตกแต่งบ้าน ทั้งกระเบื้องพื้นและผนัง (Floor & Wall Tile) วัสดุทดแทนกระเบื้อง (Non-Tile) และสุขภัณฑ์ (Sanitary Ware) ให้มีความหลากหลายทั้งวัสดุ ดีไซน์ ขนาด และเฉดสี เพื่อตอบโจทย์ทุกสไตล์บ้านและทุกความชอบของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับความรู้และความชำนาญในการทำธุรกิจวัสดุตกแต่ง ที่มีมากว่า 15 ปี ทำให้ WDC สามารถให้บริการลูกค้าได้แบบครบจบในที่เดียวหรือที่เรียกว่า “One Stop Service” ทั้งสินค้าและบริการตลอดการขายจนถึงบริการหลังการขาย” นายบัณฑิตกล่าวทิ้งทาย