สถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่รู้ว่าจะจบลงได้เมื่อไหร่ สถานการณ์จะยืดเยื้อลากยาวหรือไม่ และผลกระทบจะเป็นเช่นไรหากมีเหตุให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายออกไป ลองมาฟังมุมมองของ 2 นายกสมาคมในภาคอสังหาริมทรัพย์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นหรือเมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป
“สถานการณ์การปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จะกระทบกับโครงการที่เปิดขายอยู่อาจจะขายไม่ได้ เพราะคนกังวลกับสถานการณ์ แต่ในระยะกลาง-ยาว เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมาก อาจจะมีปัญหาแรงงานกัมพูชาขาดแคลนแต่ก็สอดรับกับสถานการณ์ตลาดในช่วงนี้ที่โครงการเปิดใหม่ลดลง” นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ความเห็นว่า

ขณะที่นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ยังไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ หากแต่เป็นเพียงการปะทะตามแนวชายแดน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง ณ ขณะนี้คือการปิดด่านชายแดนส่งผลต่อการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ที่หยุดชะงักในทันทีสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง หากประเมินผลกระทบต่อ GDP ของประเทศโดยรวมแล้ว ยังอยู่ในระดับจำกัด คาดว่าไม่เกิน 0.1–0.2% เท่านั้น
นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กุมพูชาจะได้รับผลกระทบเช่นกัน นักท่องเที่ยวจากกัมพูชาที่เคยเดินทางเข้ามายังฝั่งไทยจะลดลง และหากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะส่งผลต่อจิตวิทยาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนในระยะยาว ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ชายแดนซึ่งมีทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม ค้าปลีก ค้าส่งขนาดใหญ่ ก็อาจเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ลุกลามยกระดับเป็นสงครามจะเกิดผลกระทบที่กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะในด้านงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งจะต้องจัดสรรเพื่อใช้ในด้านความมั่นคง ย่อมหมายความว่าการลงทุนอื่นๆ ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง โครงการ EEC หรือการขยายสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ อาจต้องชะลอออกไปบางส่วน และอีกประเด็นที่ควรจับตาคือการลงทุนจากต่างประเทศ โดยปกติ นักลงทุนต่างชาติมักให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของประเทศที่เข้าไปลงทุน หากสถานการณ์ยกระดับเป็นสงคราม และมีแนวโน้มยืดเยื้อ การไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัจจัยความเสี่ยงจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน

“ในเชิงจิตวิทยาภายในประเทศเอง แต่ละบริษัทก็ต้องเตรียมตัวรับมือผลกระทบที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่เชื่อมั่น การจับจ่ายใช้สอยในสินค้าฟุ่มเฟือยหรือการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในอดีต เช่น สงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่แม้จะเกิดขึ้นห่างไกล แต่ก็ส่งผลต่อราคาน้ำมัน และต้นทุนการขนส่งทั่วโลก ซึ่งกระทบถึงประเทศไทยโดยตรง เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นที่บริเวณชายแดนของเราเอง การเคลื่อนไหวของธุรกิจเอกชนและบริษัทต่างๆ ย่อมต้องเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือ ทั้งในแง่การลงทุน การวางแผนกำลังการผลิต และการควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม” นายสุนทรกล่าวปิดท้าย