สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะรู้กันดีว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งสถานการณ์จะสุกงอมจนเกิดการปะทะกันในที่สุด แต่ที่ต้องประณามคือ การยิงใส่พลเรือน ชุมชน และโรงพยาบาลของฝ่ายกัมพูชาจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้นเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากผลกระทบด้านชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนแล้ว ในมิติของเศรษฐกิจแน่นอนว่าผลจากสงครามจะกระทบต่อการค้าขายระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจรายงานเอาไว้ว่า ปี 2567 ไทย-กัมพูชา มีมูลค่าการค้ารวมกัน 3.6 แสนล้านบาท เป็นการค้าชายแดนประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่ 5 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 1.6 แสนล้านบาท เป็นการค้าชายแดนราว 8 หมื่นล้านบาท เมื่อมีปัญหาพิพาทกันสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ประเมินว่าในครึ่งปีหลังมูลค่าการส่งออกของไทยไปกัมพูชาอาจจะหายไป 1 แสนล้านบาทขึ้นอยู่กับว่าสงครามจะยืดเยื้อมากน้อยแค่ไหน
แต่ก็คงไม่มีผลกระทบต่อ GDP ของไทยมากเท่าไรนัก เพราะมูลค่าการค้าไทย-กัมพูชาคิดเป็น 2% ของ GDP เท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่อาจจะส่งกระทบต่อภาคอสังหาฯของไทยก็คือแรงงานกัมพูชาในภาคการก่อสร้างที่มีอยู่ประมาณ 2 แสนคน อาจจะไม่มั่นใจในความปลอดภัยขอเดินทางกลับประเทศไปส่วนหนึ่ง แต่ก็คงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะภาคอสังหาฯทุกวันนี้อยู่ในภาวะคนมากกว่างานจากภาวะชะลอตัวที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
ที่น่ากังวลคือ ผลกระทบเชิงจิตวิทยาอาจส่งต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและประชาชน ทำให้เกิดความระมัดระวังในการลงทุนและการจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น รวมถึงโครงการอสังหาฯในจังหวัดใหญ่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาก็อาจจะได้รับผลกระทบจากการค้าที่ชะลอตัวลง ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปแค่ไหนซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไป
วราพงษ์ ป่านแก้ว/24/07/2568