สิ่งแวดล้อม เมือง สีเขียว

แนวโน้ม Sustainability กับการปรับตัวในภาคอสังหาฯ


รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) อัพเดต Sustainability Trends ที่กำลังจะเปลี่ยนไป และ 4 เรื่องสำคัญที่จะยังคงอยู่กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยแม้ว่าตลาดในปี 2568 จะยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนผ่านของคำนิยาม: จาก Sustainability สู่ Resilience และ Regenerative
รศ.ดร. สิงห์ กล่าวว่า ในระดับโลก ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยใช้คำว่า “Sustainability” มากนักแล้ว ความเข้าใจที่มีมากขึ้นคือ การจะกลับไปสู่โลกที่สมดุลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หรือไม่สามารถเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราจะได้ยินสองคำที่ถูกพูดถึงบ่อยขึ้นมากในอนาคต ได้แก่ “resilience” และ “regenerative”

-Resilience: หมายถึง การปรับตัวให้รอด (adaptation ปรับตัวให้อยู่รอด) เทคโนโลยีเกิดใหม่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับตัวเพื่อให้รอดนี้ด้วย นี่คือเทรนด์สำคัญที่เราจะได้ยินบ่อยขึ้น

-Regenerative: เป็นเรื่องที่ยากขึ้นและเป็นอนาคตที่ไกลออกไปนิดหน่อย แต่ก็เริ่มมีการพูดถึงบ่อยขึ้น คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า คือ การปรับตัว แก้ไข และทำให้ดีขึ้น

อ สิงห์ อินทรชูโต

ดังนั้น ในบริบทของแหล่งข้อมูล การปรับตัว จึงมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับแนวคิดของ resilience ซึ่งเน้นที่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสองคำนี้ คือ resilience และ regenerative จะเป็นคำที่เราจะได้ยินมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

แนวโน้มด้าน Sustainability ในภาคอสังหาริมทรัพย์ระยะใกล้
แม้ว่าในปีปัจจุบัน ภาคอสังหาริมทรัพย์อาจเผชิญความลำบากจากเศรษฐกิจที่ซบเซาและการลงทุนที่อาจชะลอตัว แต่แนวโน้มด้าน sustainability จะไม่หายไปอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์หรือภาคค้าปลีก (retail) จะมีเทรนด์สำคัญที่สังเกตได้ชัดเจน:

1.ความต้องการพลังงานหมุนเวียนจาก Global Brand: ผู้เช่าที่เป็น Global Brand ขนาดใหญ่จะเริ่ม ขอข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewal Energy) ในอาคารหรือตึกที่พวกเขาเช่าพื้นที่. เนื่องจากแบรนด์เหล่านี้มีเป้าหมาย Net Zero ในปีที่กำหนด ดังนั้นเมื่อพวกเขามาเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านหรือทำกิจการต่างๆ พวกเขาต้องระวังว่าสถานที่นั้นจะสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของแบรนด์หรือไม่. หากอาคารไม่มีการใช้ Renewal Energy หรือไม่สนใจเรื่อง Sustainability แบรนด์เหล่านี้ก็จำเป็นต้องย้ายออกไป นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเริ่มพบมากขึ้นในระยะใกล้ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีก

Cooliving Design water feature + พื้นที่สีเขียว

2.การส่งเสริม Biobase Solution: ทุกคนต้องเริ่มโปรโมทเรื่อง Biobase Solution มากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การปลูกป่าหรือปลูกต้นไม้ในพื้นที่มากขึ้น สิ่งนี้ช่วยได้สองเรื่องหลัก คือ ลดคาร์บอน และช่วยเรื่องคุณภาพชีวิต เนื่องจากคุณภาพอากาศปัจจุบันแย่มาก กลไกธรรมชาติที่ดีที่สุดในการฟอกอากาศคือต้นไม้ ยิ่งต้นไม้มีใบดก มีปากใบมาก มีความสาก ก็ยิ่งช่วยดูดซับ PM2.5 และ PM10 ได้มาก. การปลูกต้นไม้ในภาคอสังหาริมทรัพย์จึงไม่ได้ทำเพื่อความสวยงามหรือผ่อนคลายเท่านั้น แต่ช่วยเรื่องการฟอกอากาศมากขึ้นด้วย

3.การเน้นเรื่อง Well-being และสุขภาพ: เป็นเทรนด์ที่ต่อเนื่องมา ภาคอสังหาริมทรัพย์จะ เน้นเรื่อง Well-being และสุขภาพมากขึ้น. เราจะได้ยินบ่อยขึ้นว่าการอยู่อาศัยในอาคาร คอนโด หรือ Living Quarter จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น จะมีการใช้เครื่องฟอกอากาศที่ติดตั้งมาพร้อมกับพื้นที่ และใช้วัสดุที่ไม่ปล่อยสารพิษ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในการก้าวไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต (move toward future sustainability)

4.Smart Building: ในอนาคต อาคารที่พักอาศัยจะเน้นความเป็น Smart Building. นี่คือระบบที่จะบอกข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น เราประหยัดพลังงานได้เท่าไหร่, อากาศภายในบ้านมีมลพิษเยอะไหม มี VOC (Volatile Organic Compounds) ตัวไหนเยอะแค่ไหน Smart Building จะช่วยบอกเราว่าบ้านของเราประหยัดพลังงานและน้ำหรือไม่ และที่สำคัญคืออากาศที่เราหายใจเป็นพิษหรือไม่

สมาร์ท บิลดิ้ง อาคาร

การลงทุนเพื่อระบบอาคาร: จุดขายในอนาคต
จากแนวโน้มที่กล่าวมาข้างต้น การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบของอาคาร (system of the building) จะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต่างๆ จะเริ่มให้ความสำคัญและลงทุนมากขึ้น. การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มระดับโลกและความต้องการของผู้เช่า/ผู้อยู่อาศัย แต่ยังจะกลายเป็นจุดขายสำคัญของโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในอนาคตอันใกล้ สรุปได้ว่า อนาคตของความยั่งยืนกำลังเปลี่ยนนิยามไปสู่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด (resilience) และการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น (regenerative)

ภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับการปรับตัวที่ชัดเจน โดยมีแรงขับเคลื่อนจากความต้องการของ Global Brand ในเรื่องพลังงานหมุนเวียน, การให้ความสำคัญกับการฟอกอากาศและการเพิ่มพื้นที่สีเขียว, การมุ่งเน้นสุขภาพ และ Well-being, และการนำเทคโนโลยี Smart Building มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิต การลงทุนในระบบอาคารเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นและจะเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต