fbpx
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค We retail Jodd 1

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กางแผนรุกปี 66 ขยายรีเทล บุกหนักบ้านหรู

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เดินหน้าปั้นรายได้ระยะยาว (Recurring Income) ผ่าน 2 บริษัทในเครือ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ และวีรีเทล หลังจากธุรกิจท่องเที่ยวกลับสู่เส้นทางของการฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ พร้อมกับการขยายธุรกิจค้าปลีกจากการนำแลนด์แบงก์มาพัฒนาเป็นไลฟ์สไตล์ มอลล์ ร่วมกับ “จ๊อดแฟร์” โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากค่าเช่าจาก 3% ของรายได้รวม ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เป็น 30% ในอีก 4 ปีข้างหน้า ส่วนธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเน้นหนักในกลุ่มบ้านระดับลักชัวรี่

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์อย่างน้อยปีละ 1 โครงการ ดำเนินการโดย บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยการนำแลนด์แบงก์ที่มีอยู่หรือเช่ามาพัฒนา ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 13 ไร่ ของบริษัท ริมถนนรัชดาภิเษกเป็นโครงการนำร้อง ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน และพื้นที่รีเทลภายในอาคารและด้านหน้าอาคาร ที่ได้ “จ๊อดแฟร์” เข้ามาร่วมมือในการบริหารพื้นที่รีเทลทั้งหมด

รุกธุรกิจรีเทล ขยายรายได้จากการเช่า 30% ในอีก 4 ปี

“ธุรกิจรีเทลเป็นธุรกิจที่เราศึกษามานาน แต่ก็ไม่ได้เข้าง่ายๆ เพราะเราถนัดในการพัฒนาแล้วขาย ถนัดในเรื่องการเลือกทำเล ถือว่าเราโชคดีที่ได้จ๊อดแฟร์ที่มีความถนัดในเรื่องของธุรกิจรีเทลมากกว่าเราเข้ามาร่วมทำโครงการ โดยจ๊อดแฟร์มีร้านค้าที่เป็น SME อยู่ในมือ 4 พันกว่าราย ซึ่งร้านค้าในรูปแบบนี้ยังมีความต้องการสูงแต่คนทำน้อย เราเป็นรายแรกๆ ที่เข้ามาร่วมทำในรูปแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะทำเป็นห้างขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นเริ่มจากปี 2567 โดยตั้งเป้ารายได้จากการเช่าไว้ประมาณ 30% ใน 4 ปีข้างหน้า”

นายศานิต กล่าวอีกว่า ถ้าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทนอกจากการพัฒนาเพื่อขายแล้ว ที่ดินบางแปลงเราอาจมาพัฒนาโครงการเช่าระยะยาวได้ โดยจะมีการศึกษาต่อเนื่องไป ที่ดินบางแปลงเราอาจจะไม่ซื้อ แต่ใช้การเช่า และนำมาพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส เน้นทำเลที่ติดรถไฟฟ้าเป็นหลัก ถ้าผ่านโปรเจ็กต์นี้ไปได้ คิดว่าจะทำอย่างน้อยปีละ 1 โครงการก่อน แต่จะเป็นมิกซ์ยูสในลักษณะไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพที่ดินที่ได้มา สำหรับทำเลที่ตั้งของโครงการนี้เป็นทำเลที่รถไฟฟ้าตัดกัน 2 สาย มีโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน สถานทูตจีน และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ทำให้ย่านพระราม 9 -รัชดาภิเษกจะเป็นนิวซีบีดีแห่งใหม่ของกรุงเทพฯอย่างแน่นอนในเวลาอีกไม่เกิน 3 ปี

ด้านนายพรสวัสดิ์ เกษจุฬาศรีโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยรายละเอียดโครงการว่า โครงการตั้งอยู่ริมถนนรัชดาภิเษก (ติดกับห้างบิ๊กซี) ซึ่งเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของกรุงเทพ และมีระบบขนส่งมวลชนอำนวยความสะดวกในการเดินทาง โดยอยู่ติดสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม โครงการมีมูลค่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ อาคารสูง 12 ชั้น และ พื้นที่ร้านค้าด้านหน้าอาคาร ตัวอาคารมีพื้นที่รวมกว่า 93,000 ตร.ม. แบ่งเป็น พื้นที่สำนักงาน 5 ชั้น เนื้อที่ 20,000 ตร.ม. จะใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทในกลุ่ม พื้นที่ร้านค้า 3 ชั้น 25,000 ตร.ม. พื้นที่จอดรถ 4 ชั้น 33,000 ตร.ม. จอดรถได้ 750 คัน พื้นที่บริการและสัญจร สวน ล็อบบี้ อีก 15,000 ตร.ม.

สำหรับพื้นที่รีเทลซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของโครงการ บริหารพื้นที่โดย “จ๊อดแฟร์” ภายในอาคารจะเป็นร้านอาหารร้านค้าไลฟ์สไตล์ ส่วนด้านหน้าอาคารจะเป็นไนท์มาร์เก็ตแห่งใหม่ โดยโครงการกำหนดเปิดให้บริการในปี 2567 โดยไพโรจน์ ร้อยแก้ว ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารตลาดรถไฟและตลาดจ๊อดแฟร์ เปิดเผยว่า “จ๊อดแฟร์” จะเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่รีเทลทั้งหมด ประกอบด้วย พื้นที่ร้านค้าภายในอาคารขนาด 25,000 ตร.ม. จำนวน 3 ชั้น มีร้านค้ารวม 928 ร้าน แนวคิดหลัก คือการใช้สถาปัตยกรรมเป็นเครื่องบ่งชี้ความแตกต่าง สร้างภาพจำให้กับลูกค้าและผู้ที่มาใช้บริการให้เห็นและจดจำได้แม้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นการนำเอาสถาปัตยกรรมเก่าๆ กึ่งโรงงานเข้ามาใช้ และนำแฟชั่นสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานกัน

ร้านค้าภายในตัวอาคาร จะถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าในหลายๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นแนว วินเทจ แฟชั่น, สตรีท แฟชั่น, อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ดนตรี งานศิลปะ งานคราฟต์ เป็นต้น ส่วนพื้นที่กลางแจ้งด้านหน้าอาคาร ประมาณ 5.6 ไร่ จะเป็นไนท์มาร์เก็ตแห่งใหม่ ที่มีทั้งพื้นที่เป็นล็อค ร้านค้า และร้านในรูปแบบคีออส รวม 798 ร้าน จะใช้รูปแบบของ “จ๊อดแฟร์” เดิมเป็นหลัก และจะเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ อีกหลากหลาย โดยยังคงคอนเซ็ปท์ไนท์มาร์เก็ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในแบบของ “จ๊อดแฟร์” เพื่อให้โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะมีทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว แกรนด์ แอสเสท ตั้งเป้ารายได้ 6,000 ล้าน

ด้านธุรกิจโรงแรมของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น หลังการเปิดประเทศและภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยคาดว่า บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นในปี 2566

นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 ธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากปีที่ผ่านมาการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากทั้งสองธุรกิจหลัก ส่งผลให้จะมีรายได้เป็น All-Time High หรือรายได้ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

ในส่วนของธุรกิจโรงแรม คาดว่าจะได้รับผลดีจากที่การท่องเที่ยวทั่วโลกที่ฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด19 มาตั้งแต่ปลายปี 2562 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 62% ของปี 2562 โดยโรงแรมในเครือของบริษัทคาดการณ์รายได้จะฟื้นตัวเทียบเท่ากับรายได้ปี 2562 ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท จากโครงการคอนโดมิเนียม ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ 2,000 ล้านบาท โครงการ ไฮด์ สุขุมวิท 11 จำนวน 600 ล้านบาท และโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง จำนวน 400 ล้านบาท

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เร่งขยายตลาดบ้านระดับลักชัวรี่

ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นายศานิต ประเมินว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายยังคงไปได้ดีในตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน ส่วนตลาดระดับล่างยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง แม้ความต้องการยังมี แต่ยังขอสินเชื่อได้ยากจึงยังต้องรอให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวอีกสักระยะ และเมื่อหนี้ครัวเรือนลดลงการกลับมาของบ้านระดับล่างก็จะเกิดขึ้น ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ส่วนในช่วงนี้ตลาดยังคงเป็นบ้านระดับกลางราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปและระดับบนเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายตัวในปี2566 มี 3 ปัจจัยหลักเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ การขยายตัวจากโครงการแนวราบ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัท และจะรุกเปิดโครงการใหม่แนวราบเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดขายจากโครงการแนวราบจะเป็นสัดส่วน 74% ของยอดขายรวม นอกจากนี้ยังมี การขยายตัวจากโครงการร่วมทุน ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวจากการลงทุนในโครงการร่วมทุน ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยรายได้จากโครงการร่วมทุนคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้รวม เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง และปีนี้ตั้งเป้ายอดขายโครงการร่วมทุนเติบโตขึ้น 62% จากปีก่อน

ที่สำคัญคือ ธุรกิจโรงแรม ของกลุ่มบริษัท ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมในกรุงเทพคาดว่าจะทำรายได้เท่ากับปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยโรงแรมในกลุ่มทั้งหมดคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักรวมกันเฉลี่ยทั้งปีที่ 72% นอกจากนี้ บริษัทยังมีการกระจายธุรกิจ ด้วยการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2567

ด้านนายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 บริษัทจะมีการเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 9 โครงการ มูลค่า 11,730 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 3 โครงการ มูลค่า 2,770 ล้านบาท โครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” เพิ่มอีก 1 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในรอบ 4 ปี

สำหรับในปี 2566 พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 16,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 9,700 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมทั้งในประเทศและประเทศญี่ปุ่น 2,400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนอีก 4,400 ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท

หากทุกอย่างเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค แอนด์เดอะแกงค์ ก็จะสามารถ Rebound กลับมาได้ หลังจากลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอดในช่วงวิกฤติโควิด-19