fbpx
10 ภาพอาคารเอสซีจี

ปี 65 เอสซีจีกำไรลดฮวบ 50% เร่งขยายธุรกิจกรีนเสริมความแกร่ง

วิกฤติราคาพลังงาน ปิโตรเคมีขาลงพ่นพิษ ปี 2565 เอสซีจีกำไรลดฮวบกว่า 50% แม้รายได้จะเติบโต 7% เร่งพลิกวิกฤติเป็นโอกาสขยายตลาดสินค้ากรีน พลังงานสะอาด พลาสติกรักษ์โลก โซลูชั่นประหยัดพลังงาน มั่นใจปี 2566 ก้าวพ้นวิกฤติ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ผลประกอบการเอสซีจีในปี 2565 มีรายได้รวม 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากธุรกิจแพคเกจจิ้ง และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีกำไร 21,382 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 55 สาเหตุจากเศรษฐกิจชะลอตัว ปิโตรเคมีขาลง ส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยค่าสินทรัพย์ และรายการอื่น จะมีกำไรสำหรับปีอยู่ที่ 23,270 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 50 จากปีก่อน

สำหรับไตรมาส 4 ปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 122,190 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากราคาและปริมาณขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามความต้องการของตลาดที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 157 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 94 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงประกอบกับ ต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟ ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยค่าสินทรัพย์ และรายการอื่น จะมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,070 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 66 จากไตรมาสก่อน

ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากวิกฤติซ้อนวิกฤติ ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เงินเฟ้อ ค่าเงินบาทผันผวน เศรษฐกิจจีนชะลอตัว และวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี แต่เอสซีจีได้เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับตัวฉับไวเพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อธุรกิจโดยรวม โดยมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคง ลดต้นทุนโดยใช้พลังงานทดแทน และเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการผลิต พิจารณาการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เงินสดคงเหลือแข็งแกร่งอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ความท้าทายที่ผ่านมาก็เอื้อให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการสินค้ากรีน ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของโลก และมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มพลังงานสะอาด พลาสติกรักษ์โลก โซลูชั่นประหยัดพลังงาน บรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากร โดยในปี 2565 ยอดขาย SCG Green Choice เติบโตโดดเด่นร้อยละ 34 เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือมียอดขายรวม ร้อยละ 51 ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจีพร้อมเร่งเดินหน้าเต็มที่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น โดยปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น จากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคกลับมาคึกคัก ขณะที่ตลาดอาเซียนปรับตัวขึ้น ตามการเปิดประเทศของจีน ราคาถ่านหินในตลาดโลกลดลงหลังจากช่วงฤดูหนาว และเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เอสซีจีเชื่อมั่นว่าจะสามารถผ่านวิกฤติในครั้งนี้ และตอบความต้องการใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี

ระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid

เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) ปี 2565 อยู่ที่ 195,520 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) คิดเป็นร้อยละ 17 และ Service Solutions คิดเป็นร้อยละ 6 ของยอดขายรวม

ส่วนรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในปี 2565 ทั้งสิ้น 257,880 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของยอดขายรวม ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีมูลค่า 906,490 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)

ผลการดำเนินงานในปี 2565 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

-ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) มีรายได้จากการขาย 236,587 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากปีก่อน เนื่องจากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 5,901 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 80 จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 43,285 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายสินค้าปรับตัวลดลง โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 1,052 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนต่างราคาขายสินค้าลดลง

-ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 204,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 3,789 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 49,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การปรับราคาขายสินค้าส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 717 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมรายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการสำคัญ (Key Items) จะมีขาดทุนสำหรับงวดอยู่ที่ 157 ล้านบาท สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบรวมทั้งพลังงานที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

-ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขายเท่ากับ 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (M&P) และการขยายกำลังการผลิต (Organic expansion) โดยมีกำไรสำหรับปี 5,801 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และการหดตัวของปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2565 SCGP มีรายได้จากการขาย 33,509 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากปริมาณการขายที่ลดลงตามความต้องการที่ชะลอตัวลงทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก และมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 450 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณและราคาขายที่ลดลงของกระดาษบรรจุภัณฑ์

นายรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้ายว่า ในปีนี้ เอสซีจี ยังคงมุ่งรักษาความมั่นคงทางการเงิน และสภาพคล่อง ลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ รัดเข็มขัด รวมทั้งลดต้นทุนพลังงาน ขณะเดียวกัน เร่งเดินหน้าธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ลงทุนในนวัตกรรม คว้าโอกาสเศรษฐกิจฟื้น สร้างโซลูชั่นรองรับเมกะเทรนด์โลก เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ซึ่งตลาดในภูมิภาคเริ่มฟื้น และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ เอสซีจี พร้อมช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สังคม โดยปี 2565 สร้างอาชีพให้ผู้ที่เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจรวม 9,000 คน ให้มีรายได้ ลดเหลื่อมล้ำในสังคม

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 8.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 9,600 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 6.0 บาท เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.0 บาท

การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น เฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 เมษายน 2566 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 7 เมษายน 2566) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 เมษายน 2566 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี