สถาพร เอสเตท บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่อยู่ยืนยงในตลาดที่อยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน หวนคืนถิ่นที่ตัวเองคุ้นเคยมากว่า 20 ปี หลังจากการพัฒนาโครงการในยุคบุกเบิก “บ้านสถาพร” บริเวณคลอง 3 เนื้อที่ 200 ไร่ จำนวน 1,600 หลัง ซึ่งปัจจุบันได้ปิดโครงการไปเรียบร้อยหมดแล้ว โดยได้โครงการใหม่ในบริเวณถนนรังสิต-นครนายก คลอง 5 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ สถาพร เอสเตท เลือกใช้ในการรุกตลาดอสังหาฯในปัจจุบัน
“ยุทธศาสตร์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมีหัวใจสำคัญอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบจะปักหลักในพื้นที่ที่บริษัทคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นก็คือบริเวณตอนเหนือของกรุงเทพฯ 2.การพัฒนาโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม จะต้องอยู่ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ(CBD) อย่างแท้จริง ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการ The Shade สาทร 1 และจะเปิดเพิ่มอีก 1 โครงการในปี 2564 และ 3.การสร้างรายได้จาก Recurring Income ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินที่ให้เช่าเพื่อการพาณิชยกรรมอยู่ในแต่ละโครงการ” นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตทกล่าว
ล่าสุด สถาพร เอสเตท กลับสู่ถิ่นเดิมในโซนรังสิตอีกครั้งด้วยการเปิดโครงการใหม่ที่ชื่อ “ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน” โครงการบ้านเดี่ยว (และจะมีบ้านแฝดในปีหน้า) บนถนนรังสิต-นครนายก คลอง 5 ซึ่งนายสุนทร บอกว่า การพัฒนาโครงการในพื้นที่ที่บริษัทคุ้ยเคยอยู่แล้ว มีข้อได้เปรียบคือ เรารู้จักลูกค้า คู่แข่ง รวมถึงซัพพลายเออร์ในพื้นที่ของเราเป็นอย่างดี ประกอบกับ พื้นที่รังสิต-วงแหวน จะถูกยกระดับเป็น Node ในการพัฒนาตามการวางผังในระดับภาค ซึ่งทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มเมกา เข้ามาซื้อที่ดินเตรียมไว้เปิดธุรกิจรองรับความเจริญในย่านนี้
ขณะที่การแข่งขันในพื้นที่ก็ต้องบอกว่าความรุนแรงอยู่ในระดับ 5 ดาว โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ที่บรรดาบิ๊กอสังหาฯมากันครบ แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าถิ่นดั้งเดิมในยุคที่ความเจริญยังอยู่แค่คลอง 1-3 สถาพร เอสเตท จึงมั่นใจว่ามีดีพอที่จะต่อกรกับการแข่งขันที่ดุเดือดในพื้นที่ได้
“นอกจากความเข้าใจลูกค้าในพื้นที่เป็นอย่างดีแล้ว โครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน มีจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งอยู่ 3-4 เรื่อง เรื่องแรกคือ ทำเลของโครงการที่มีเนื้อที่กว่า 70 ไร่ อยู่ติดถนนใหญ่ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ กับไซส์โครงการขนาดนี้ เรื่องที่ 2 คือ ราคาเริ่มต้นที่ 5.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้ในตลาดบ้านเดี่ยว 3. คือดีไซน์ในสไตล์ Modern Eco Passive ซึ่งแนวทางการพัฒนาที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นแนวทางที่ สถาพร เอสเตท ยึดถือมาตลอด และได้รับรางวัลต่างๆ มามากมาย กับโครงการบ้านสถาพร รังสิตคลอง 3 ดีไซน์ในแนวนี้ถือเป็นจุดแข็งที่บริษัทอื่นทำกันน้อยมาก นอกจากนี้ยังให้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าเมื่อเทียบกับแบบบ้านในไซส์เดียวกัน และ 4. พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ถึง 2 ไร่” นายสุนทรกล่าว
นอกจากนี้ การที่เลือกลงในเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเซ็กเมนต์ที่ยังพอไปได้ท่ามกลางภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ยอดปฏิเสธสินเชื่อในเซ็กเมนต์นี้ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งลูกค้าเป็นกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อ แต่ก็ต้องการหาของที่มี value ซึ่งข้อแตกต่างที่โดดเด่นที่สุดของเราก็คือ พื้นที่ใช้สอยของบ้านที่มีขนาดใหญ่ไม่เหมือนใคร
สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการแนวสูง ซึ่งก็คือการเลือกทำเลในการพัฒนาคอนโดในพื้นที่ที่เป็น CBD แม้ว่าในตลาดคอนโดในขณะนี้จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่ สถาพร เอสเตท ก็พร้อมจะเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าอีก 1 โครงการ
“บริษัทจะเปิดคอนโดโครงการใหม่ในปีหน้าชื่อว่า Crown อยู่บนถนนพระราม 4 ปากซอยสุวรรณสวัสดิ์ ใกล้ๆ กับโครงการอมันตา ลุมพินี ของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จะพัฒนาเป็นคอนโดสูง 33 ชั้น จำนวน 182 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนราคายังไม่ได้กำหนด แต่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-2.6 แสนบาท/ตร.ม.”
ส่วนโครงการ เดอะ เชดด์ สาทร 1 คอนโดโครงการแรกของบริษัทมูลค่า 1,480 ล้านบาท จำนวน 278 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท ขณะนี้โครงการใกล้จะก่อสร้างเสร็จ มียอดขายแล้วประมาณ 2 ใน 3 ซึ่งเมื่อโครงการก่อสร้างเสร็จประมาณต้นปี 2564 บริษัทจะทำตลาดหน่วยที่เหลืออีกครั้ง โดยรายได้จากคอนโดจะเริ่มทะยอยเข้ามาในปี 2564 ที่จะถึงนี้
กลยุทธ์สุดท้ายเพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน เพื่อกรุยทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 4-5 ปีข้างหน้า สถาพร เอสเตท จึงต้องหา Recurring Income เติมเข้ามาพอร์ตบ้าง ซึ่งที่ผ่านมา สถาพร เอสเตท เลือกใช้การแบ่งที่ดินที่ใช้พัฒนาโครงการมาปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ปัจจุบันมีที่ดินที่ปล่อยเช่าอยุ่ 3 แปลง ได้แก่ บริเวณด้านหน้าโครงการบ้านสถาพรให้โลตัสเช่าเหลือเวลาอีก 14 ปี เซเว่น-อีเวฟเว่นที่โครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 และร้านค้าที่โครงการ อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล
ล่าสุดได้แบ่งที่ดินด้านหน้าโครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต-วงแหวน เนื้อที่ 26 ไร่ มาปล่อยเช่าในเชิงพาณิชยกรรม นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจโครงการให้เช่าในรูปแบบของ เวลเนส สำหรับผู้สูงวัย โดยมีที่ดินที่ระยอง และเขาใหญ่ที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการในอนาคตได้
เมื่อทั้ง 3 ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สถาพร เอสเตท ก็พร้อมขยับไปอีกขั้นสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปในอนาคต