อสังหาฯร่วมทุนไทย-สิงคโปร์ “ฟัลครัม เวนเจอร์ส” โต้คลื่นวิกฤติโควิด-19 ลุยเปิดบ้านเดี่ยว พานารา เทพารักษ์ เฟส 2 พร้อมอัดโปรโมชั่นลดราคาสูงสุด 1.5 ล้านดันยอดขายไตรมาสสุดท้าย มั่นใจอสังหาฯไทยยังไปได้ต่อ เตรียมขยับลงทุน 2 โครงการมูลค่า 4,000 ล้าน ในปี 64 พร้อมรอจังหวะเทคโอเวอร์โรงแรมเพิ่ม
แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเป็นศูนย์ เมื่อความต้องการซื้อจริง (real demand) ยังมีอยู่ โอกาสในการทำตลาดก็ยังเปิดกว้างอยู่เสมอ แม้จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้า
ฟัลครัม เวนเจอร์ส บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างไทย-และกลุ่มกรีนฟิลด์ แอดไวซอรี่ จากสิงคโปร์ เริ่มต้นจากธุรกิจโรงแรมก่อนโดดเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่อาศัย ประเดิมโครงการแรก พานารา เทพารักษ์ บ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น ระดับราคา 7-19 ล้านบาท จำนวน 129 หลัง บนเนื้อที่ 30 ไร่ติดถนนเทพารักษ์ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี สมุทรปราการ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท แต่ก็มาเจอแจ๊กพอตจากพิษโควิด-19 ตอนเปิดขายโครงการพอดิบพอดี
“แม้ต้องเจอผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้โครงการมีการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์เช่นเดียวกับทุกธุรกิจ ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจ สามารถปิดการขายโครงการในเฟส1 จำนวน 44 ยูนิต รวมยอดขายมูลค่า 275 ล้านบาท” นายสมศักดิ์ ศรีคุรุวาฬ ผู้อำนวยการ บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์ส กล่าว
ทั้งนี้ ฟัลครัม เวนเจอร์ส ได้ทำการตลาดอย่างเข้มข้น มีการปรับกลยุทธ์การขายผ่านออนไลน์ โดยชูจุดเด่นของโครงการที่เป็นโครงการบ้านแนวราบที่อยู่ติดถนนใหญ่ (ถนนเทพารักษ์) จับกลุ่มเป้าหมายคนที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลพบว่า ลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการในเฟสแรกที่ปิดการขายไปแล้ว จะเป็นกลุ่มหมอ-พยาบาล และผู้บริหารโรงงานในพื้นที่เป็นหลัก
สำหรับโครงการพานารา เทพารักษ์ ออกแบบภายใต้แนวคิด “ชีวิตที่เหนือกว่า กับพื้นที่ชีวิตที่กว้างกว่าใคร” ทั้งฟังก์ชันการใช้งานของบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนรุ่นใหม่ การนำ IOT เทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อเพื่ออำนวยความสะดวกความเป็นอยู่ ยกระดับความปลอดภัยด้วยแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อสัญญาณ Emergency บ้านทุกหลังกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโครงการ รวมถึงการออกแบบวางผังโครงการที่มีความร่มรื่นภายในโครงการจากพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก รวมถึงการออกแบบเพื่อรองรับอนาคต เช่น มี EV-Charger สำหรับรถใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง
นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยนายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้สานต่อการตลาด โดยจะจัดแคมเปญ Panara Savings Carnival ในวันที่ 10-11 ตุลาคมนี้ ที่ Sales Gallery เพื่อเปิดขายโครงการในเฟส 2 ต่อทันที โดยมีแพคเกจส่วนลดเงินสดสูงสุด 1.5 ล้านบาท พร้อมทั้งมอบของแถมภายในบ้านมูลค่าถึง 4 แสนบาท ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่มาจากความเข้าใจในสถานการณ์เพื่อร่วมต่อสู้ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจโดยรวมจนถึงเศรษฐกิจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ชะลอแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ออกไปเปิดตัวในปีหน้า จากเดิมมีแผนจะเปิด 3 โครงการในปีนี้จะโฟกัสเฉพาะ “พานารา เทพารักษ์” โครงการเดียว ส่วนอีก 2 โครงการที่จะไปเปิดในปีหน้า ได้แก่
– โครงการ “พานารา ลาดกระบัง”ทำเลบางนา ตราด กม.13 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 65 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 50-130 ตารางวา แบ่งการพัฒนาเป็น 5 เฟส ราคา 7-14 ล้านบาทจำนวน 279 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส1/2564
–โครงการ “อาโณณา บางบ่อ” พื้นที่ 110 ไร่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 7 เฟส ประกอบด้วยบ้านแฝด ขนาด 35 ตารางวาขึ้นไป ราคา 1.99 ล้านบาทขึ้นไป และทาวน์เฮาส์ ขนาด 18 ตารางวาขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 2.99 ล้านบาท รวม 880 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 4/2563
นายสมศักดิ์ ประเมินว่า การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะเพิ่มสูงขึ้นจากการปรับแผนลงทุนของผู้ประกอบการที่ชะลอลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมหันมาลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบแทน ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงจะทำให้ยอดขายชะลอตัวลงไป แต่คาดว่าจะค่อยๆ ปรับดีขึ้นในปีหน้า
ส่วนธุรกิจโรงแรมซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ แกรนด์ สวิส สุขุมวิท 11 และ แอสพีร่า รีสอร์ต เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และยังมีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการแอสพีร่า เรสซิเดนซ์ ย่านเอกมัย และ โครงการแอสพีร่า รีสอร์ตภูเก็ต โดยในช่วงโควิด-19 ระบาดได้หยุดดำเนินการไป และเพิ่งมาเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมในช่วงคลายมาตรการล็อคดาวน์ ขณะที่เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ จะกลับมาเปิดให้บริการได้ในเดือนมกราคม 2564
นอกจากนี้ ยังได้ชะลอการลงทุนโรงแรม 3-4 ดาว และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ใหม่ ย่านป่าตอง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มกรีนฟิลด์ แอดไวซอรี่ จากสิงคโปร์ บนที่ดินที่ดินประมาณ 3 ไร่ ซึ่งออกแบบไว้เรียบร้อยแล้ว สูง 8 ชั้น จำนวน 300 กว่าห้องพัก โดยคาดว่าจะต้องชะลอแผนการพัฒนาออกไปอีกประมาณ 2 ปี
ขณะเดียวกันในวิกฤติย่อมมีโอกาส ซึ่งในจังหวะนี้ กลุ่ม ฟัลครัม เวนเจอร์ส ก็มีแผนที่จะเทคโอเวอร์โรงแรมที่ไปต่อไม่ไหว โดยในสมศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเทกโอเวอร์กิจการโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้บริษัทได้เข้าไปเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการโรงแรมแล้ว 3 แห่ง โดยเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ที่พัทยา 2 แห่ง สูง 8 ชั้น จำนวน 80 ห้องพัก/โรงแรม มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท และที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 แห่ง ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาต่อรองราคา จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
แม้ว่าในช่วงโควิด-19 จะมีธุรกิจโรงแรมหลายแห่งประสบปัญหา แต่ก็ยังไม่ค่อยมีรายใดจะประกาศขายเนื่องจากสถาบันการเงินยังช่วยเหลือในเรื่องเงินกู้อยู่ คาดว่าหลังเดือนตุลาคม 2563 จะมีความชัดเจนเรื่องการประกาศขายกิจการมากกว่านี้
ด้าน มร.มิฮาย โอลเทียลนู หัวหน้าฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท กรีนฟิลด์ แอดไวซอรี่ จำกัด กลุ่มผู้ร่วมทุนจากสิงคโปร์ กล่าว่า สถานการณ์พัฒนาที่อยู่อาศัยในไทยยังมีความเป็นไปได้ เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ยังมีความต้องการ แม้ที่ผ่านมาจะพบกับสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักพอสมควร แต่โควิด-19 เป็นวิกฤติที่ส่งผลต่อทุกภาคส่วนธุรกิจทั่วโลก และขณะนี้บริษัทได้คลี่คลายสถานการณ์ไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นกลุ่มกรีนฟิลด์ฯ จะยังคงเดินหน้าร่วมลงทุนในโครงการต่อไปอย่างแน่นอน