fbpx
entrance

ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดใหม่ ในราคาย้อนยุค

ใครที่คิดจะซื้อคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ราคาดีๆ ในปีนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ตลาดคอนโดอยู่ในช่วง Slow Down และเป็นช่วงเวลาของการโละสต๊อกเก่าเสียมากกว่าที่จะเปิดคอนโดใหม่ ยิ่งมาเจอภาวะแทรกซ้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้คอนโดใหม่ๆ หายไปจากตลาดในจำนวนที่มากพอสมควร

จากตัวเลขของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ตลอดเวลา 5 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-พ.ค.) มีคอนโดเปิดใหม่แค่ 27 โครงการ จำนวนรวมประมาณ 1 หมื่นยูนิต ลดลงไปเกือบ 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

แม้ว่าในตลาดจะมีของให้เลือกช็อปในราคาที่โดนใจ แต่ใครหลายๆ คนอาจจะคิดเหมือนๆ กันว่า ของที่มีอยู่มันอาจจะยังไม่ใช่ เพราะสต๊อกก็คือสต๊อกแม้จะได้ราคาดี แต่ถ้าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยกันแบบจริงๆ จังๆ มันก็อยากมีทางเลือกที่มากกว่าห้องที่เหลืออยู่ตอนนี้ว่ามั๊ย

วันนี้ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้เปิด “คอนโดใหม่ ในราคาย้อนยุค” ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ที่กำลังจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 11-12 กรกฎาคม 2563 ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่กำลังหาซื้อคอนโดในช่วงที่หลายบริษัทยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ทำไม ศุภาลัย ถึงกล้าลุย? คำถามนี้ทางผู้บริหารของศุภาลัย ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม ตอบชัดเจนว่า ถ้าไม่มั่นใจเกินร้อยก็คงไม่กล้าเปิดคอนโดใหม่เหมือนกัน

3 สิ่งที่ทำให้ผู้บริหารศุภาลัยมั่นใจว่า ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ เปิดมาแล้วต้องปัง ประกอบไปด้วย ทำเล-ราคา-ดีไซน์ ซึ่ง Property Mentor จะขอโฟกัส 3 สิ่งนี้แบบวิเคราะห์เจาะลึกว่า ปัจจัยที่ทำให้ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเพื่อการลงทุนในอนาคตได้หรือไม่

ในเรื่องของทำเลที่ตั้งของโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ อยู่บนถนนราชพฤกษ์ ใกล้ๆ จุดตัดระหว่างถนนราชพฤกษ์กับถนนเทอดไทฝั่งเข้าเมือง ที่สำคัญคือ อยู่ใกล้กับ MRT และ BTS สถานีบางหว้า ซึ่งเป็นสถานีร่วมของรถไฟฟ้า 2 สาย โดยระยะทางจากโครงการถึง Skywalk เพียง 200 เมตร และหากนับจากโครงการถึงสถานี เพียง 450 เมตร เท่านั้น

ก่อนที่จะไปพูดถึงความสะดวกในการเดินทาง ขอเปิดหัวด้วยศักยภาพของทำเลที่อยู่ใกล้สถานีร่วมหรือที่เรียกกันว่า Interchange และทิศทางการพัฒนาเมือง ที่จะเกิดกับพื้นที่ตรงนี้กันก่อน

บางหว้า Interchange ทำเลศักยภาพสูง
สำหรับทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต ตามผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2564 ได้วางการขยายตัวของกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะในด้านของที่อยู่อาศัยที่มีความหนาแน่นสูงจะขยายตัวออกไปใน 3 ทิศทาง ได้แก่

  • ทิศเหนือตามแนวรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีเขียว
  • ทิศตะวันออก ตามแนวสายสีเขียวไปทางสมุทรปราการ และตามแนวแอร์พอร์ตลิงค์ รวมถึงสายสีส้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
  • ทิศตะวันตก ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ออกไปทางเพชรเกษมและบางแค

ทั้ง 3 ทิศทางของการขยายตัวนี้จะส่งเสริมให้เกิดศูนย์ชุมชนชานเมือง หรือที่เรียกว่า Sub Center ออกไปในทิศทางต่างๆ เพื่อให้มีการค้าและการบริการกระจายตัวอยู่ในเขตชั้นกลางและเขตชั้นนอกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯจะมี ตลิ่งชัน เพชรเกษม บางแค และพระราม 2 เป็นเป้าหมายของการเป็น Sub Center

โดยปกติที่ดินที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยเฉพาะสถานีร่วม หรือ interchange จะได้รับการส่งเสริมการพัฒนาได้มากขึ้นในรูปแบบของ TOD หรือ Transit-Oriented Development เพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน และทำหน้าที่เป็นศูนย์ชุมชนชานเมืองย่อยๆ ในบริเวณที่เป็นสถานีร่วมของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเส้นทางต่างๆ

สถานีบางหว้าคือหนึ่งในสถานีร่วมที่พื้นที่โดยรอบสถานีในระยะ 800 เมตร จะถูกส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่มากขึ้นในอนาคต ตามผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่นี้ทำให้พื้นที่บริเวณโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ที่ตั้งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 800 เมตรจากสถานีบางหว้าจะถูกยกระดับให้มีศักยภาพในการพัฒนามากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

เข้าถึงทุกมุมเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้า
คราวนี้มาถึงการเดินทางจากทำเลที่ตั้งโครงการ เราสามารถเดินทางเข้า-ออกเมือง ด้วยการเดินทาง 2 ระบบคือ รถไฟฟ้า และรถยนต์ส่วนตัว ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้า 2 สายที่สามารถ access เข้าสู่เมืองชั้นใน ย่าน CBD ไม่ว่าจะเป็น สาทร สีลม สุขุมวิท พระราม 4 รวมไปถึง New CBD อย่างรัชดาฯ-พระราม 9 ได้ทั้ง BTS และ MRT

โดยเฉพาะคนทำงานที่ สาทร-สีลม สามารถเดินทางด้วย BTS ไปอีก 7 สถานีก็ถึงสาทร (บางหว้า – สุรศักดิ์) และ 9 สถานีกถึงสีลม (บางหว้า-ศาลแดง) หรือถ้าใครสะดวกเข้าเมืองด้วย MRT ก็สามารถเข้าถึงย่านธุรกิจใหม่อย่างถนนพระราม 4 เพียงแค่ 7 สถานี (บางหว้า-หัวลำโพง) 8 สถานีถึงจุฬาฯ (บางหว้า-สามย่าน) 9 สถานีถึงสีลม (บางหว้า-สีลม) 13 สถานีถึงสุขุมวิท (บางหว้า-สุขุมวิท) และ 15 สถานีถึงพระราม 9 (บางหว้า-พระราม 9)

นอกจากย่านธุรกิจสำคัญที่สามารถเดินทางจากโครงการได้อย่างสะดวกรวดเร็วแล้ว หากต้องการชิม-ช็อป ชิล หลากหลายสไตล์ จากโครงการก็สามารถไปได้เกือบทุกที่ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองไม่ว่าจะเป็นเยาวราช ก็สามารถเดินทางด้วย MRT ไปถึงใน 6 สถานี (บางหว้า-วัดมังกร) หรือไปสามย่านมิตรทาวน์ 8 สถานี (บางหว้า-สามย่าน) หรือจะไปสยาม ราชประสงค์ เซ็นทรัลเวิลด์) ก็สามารถเดินทางด้วย BTS เพียง 11 สถานี (บางหว้า-สยาม) เป็นต้น

อีกเส้นทางที่ต้องขยายความเพื่อให้เห็นภาพของการเดินทางด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ชัดเจนขึ้นก็คือการเดินทางด้วย MRT จากสถานีบางหว้าเพื่อไปเชื่อมต่อกับ MRT ช่วงท่าพระ-บางซื่อ ซึ่งเชื่อมต่อกันเป็น circle line รอบเมืองที่เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสายสีส้ม สีแดง สีม่วง สีเหลือง ทำให้เราสามารถเดินทางจากที่ตั้งโครงการไปในทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ-ปริมณฑลได้อย่างสะดวก ด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเชื่อมถึงกันในอนาคต

สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ นอกจากจะเข้าสู่ย่านธุรกิจอย่างสาทรในเวลาเพียง 10 นาที (กรณีที่รถไม่ติด) แล้ว โครงการยังตั้งอยู่ใกล้จุดตัดของถนนหลักสำคัญ 2 สาย คือ ถนนเพชรเกษมและถนนราชพฤกษ์ ทำให้สามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้า-ออกเมืองจากฝั่งเหนือ-ใต้ได้ด้วยถนนราชพฤกษ์ และตะวันออก-ตะวันตกด้วยถนนเพชรเกษม นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงไปยังถนนเทอดไท ถนนกาญจนาภิเษก ถนนกัลปพฤกษ์ ถนนเอกชัยได้อย่างสะดวกอีกด้วย

ถือว่าการคมนาคมทั้งทางรถยนต์ และรถไฟฟ้า สามารถรองรับการเดินทางจากโครงการไปในทุกทิศทางได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ราคาน่าคบหา คุ้มค่าทั้งอยู่อาศัย-ลงทุน
จุดแข็งเรื่องที่ 2 ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญมากๆ ต่อการตัดสินใจซื้อนั่นก็คือเรื่องของ ราคา อย่างที่เกริ่นไปในช่วงต้นว่า ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ คือคอนโดเปิดใหม่ในราคาย้อนยุค ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยมีราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 1.69 ล้านบาท โดยมีราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นที่ 53,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 60,500 บาท/ตารางเมตร

ราคานี้ถ้าดูไทม์ไลน์ย้อนกลับไปจะพบว่า คอนโดที่เปิดขายตามแนวรถไฟฟ้าช่วงตากสิน-บางหว้า ในราคาเริ่มต้นที่ 5-6 หมื่นบาท/ตารางเมตร ต้องย้อนเวลากลับไปไกลถึงปี 2555 หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ขณะที่คอนโดที่เปิดขายในปี 2562 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1-1.1 แสนบาท/ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว โดยปัจจุบันราคาเฉลี่ยของคอนโดในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ 84,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่คอนโดในพื้นที่ตากสิน-บางหว้า ราคาต่อยูนิตส่วนใหญ่เริ่มต้นกันที่ 2.5-3 ล้านบาท* (*ข้อมูลจาก คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล)

เท่ากับว่า ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ขายถูกกว่าโดยเฉลี่ยประมาณ 30% เผลอๆ สต๊อกคอนโดที่ลดแลกแจกแถมกันอยู่ในเวลานี้ยังสู้ราคาคอนโดเปิดใหม่ของศุภาลัยยังไม่ได้

หากมองในมุมของการลงทุนสำหรับคอนโดบนทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาคอนโดในย่านนี้ปรับจากตารางเมตรละ 5-6 หมื่นบาทในปี 2555 มาเป็น 1-1.1 แสนบาทในปี 2562 หรือมีราคาปรับขึ้นกว่า 100% มี capital gain โดยเฉลี่ยปีละ 10-15% ขณะที่อัตราค่าเช่าคอนโดในย่านนี้เริ่มต้นกันที่เดือนละ 7,000-8,000 บาท ไปจนถึง 1 หมื่นบาทต้นๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนทำงานย่านสาทร สีลมพระราม 4 ได้ผลตอบแทนจากการเช่าสำหรับห้องในราคาเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท  (rental yield) อยู่ที่ประมาณ 5-7% ถือว่าเป็นการลงทุนแบบยาวๆ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เคล็ดลับคุมต้นทุน ตั้งราคาต่ำกว่าตลาด 30%
การที่ ศุภาลัย สามารถทำราคาขายได้ต่ำกว่าราคาตลาด 30% โดยประมาณในหลายๆ โครงการที่เปิดขายในช่วงที่ผ่านมานั้น เกิดจากประสบการณ์ และจากกลยุทธ์ในการบริหารจัดการต้นทุน เทคนิคการเลือกซื้อที่ดิน และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผสมรวมกันแล้วทำให้ได้ราคาขายที่ถูกกว่า

ยกตัวอย่างโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ทางศุภาลัย ซื้อที่ดินมาได้ในราคา 1.41 แสนบาท/ตารางวา เมื่อปี 2559 เป็นราคาที่ดินก่อนที่จะมี Sky Walk สถานีบางหว้า เชื่อมจากตัวสถานีข้ามคลองภาษีเจริญมาลงที่ท่าเรือบางหว้าทำให้ที่ดินในบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วปัจจุบันราคาที่ดินพุ่งมาอยู่ที่ 2 แสนบาทปลายๆ/ตารางวา ทำให้ได้ที่ในราคาถูกมาพัฒนาโครงการ

ขณะเดียวกันการบริหารต้นทุนทางการเงินของศุภาลัยทำได้ค่อนข้างดีทำให้ต้นทุนการเงินลดต่ำลงมาต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ปี 2563 ศุภาลัยมีต้นทุนการเงินอยู่ที่ประมาณ 2% เท่านั้น นอกจากนี้ การสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพื้นที่โดยรอบโครงการก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยลดตันทุนได้เช่นกัน

สำหรับโครงการ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ทางศุภาลัย ได้ร่วมกับสำนักงานเขตภาษีเจริญ และกรมทางหลวงชนบท ปรับปรุง ภูมิทัศน์ บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบางหว้า Interchange ปรับปรุงทางเดินเท้าตั้งแต่ทางลงสถานีรถไฟฟ้า ด้วยหลังคาใหญ่ตลอดทางเพื่อสร้างความร่มรื่น และสร้างพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกต้นไม้ตลอดทางเดิน พร้อมไฟส่องสว่างพร้อมนำจิตรกรรมบนกำแพง หรือ Graffiti ทำให้เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยสีสัน

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนรอบข้างเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่าการขอ EIA ของโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ ผ่านการพิจารณาเพียงรอบเดียวจากส่วนใหญ่ต้องยื่นเรื่องมากกว่า 2 รอบ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำ EIA ลดลงตามไปด้วย

Naturalism Design ธรรมชาติบำบัดธรรมชาติ
มาที่เรื่องของดีไซน์ โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ มีจุดเด่นในเรื่องของแนวคิดการออกแบบในหลายเรื่อง โดยเฉพาะแนวคิดหลักของโครงการก็คือ “Naturalism” คือ การออกแบบโดยใช้ผลประโยชน์จากธรรมชาติให้มากที่สุด จุดเริ่มต้นมาจากการออกแบบโครงการเริ่มแรก ศุภาลัย ต้องการให้โครงการสามารถลดผลกระทบจาก ฝุ่นละอองที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา แต่พอไวรัสโควิด-19 ระบาด ในระหว่างช่วงพัฒนาแบบ เลยปรับดีไซน์รายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรับมือกับโควิดได้ด้วย

โครงการ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร – ราชพฤกษ์ จึงเป็นเรื่องของการใช้ธรรมชาติบำบัดธรรมชาติ เพราะต้นตอของปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฝุ่นละออง หรือไวรัส โควิด-19 ก็มาจากธรรมชาติ จึงนำธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเน้นการออกแบบพื้นที่โดยอาศัยประโยชน์จากธรรมชาติ อาทิ ลมช่วยระบายอากาศ แดดช่วยฆ่าเชื้อโรค ต้นไม้และวัสดุพืชพันธุ์ช่วยกรองฝุ่น และสร้างออกซิเจน เป็นต้น

พื้นที่โล่งเปิดรับแสงแดด ช่วยให้ถ่ายเทอากาศได้ดีขึ้น และช่วยฆ่าเชื้อโรค

ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้โครงการมีพื้นที่เปิดโล่ง(open space) ถึง 65% โดยเป็นพื้นที่สีเขียว(green space) มากกว่า 1 ไร่ ซึ่งเป็นจุดเด่นของคอนโด ศุภาลัยที่ให้ open space และ green area ค่อนข้างมาก

การมี open space เป็น Ventilation Court ภายในอาคารทำให้สามารถถ่ายเทอากาศได้ดีขึ้น พร้อมๆ กับเปิดพื้นที่รับแสงแดดได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแสงแดดในทางการแพทย์นั้นมีประโยชน์มากมายถ้าร่างกายรับแสงแดดในตอนเช้าและตอนเย็นวันละ 15 นาที อาทิ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง รักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

ส่วน green area โดยรอบจะช่วยในเรื่องของการกรองฝุ่นละอองที่เข้ามาสู่โครงการให้ลดลง และยังมีแผงไม้เลื้อย (Green Panel) ช่วยให้กรองฝุ่นและมลภาวะต่างๆ อีกชั้นหนึ่งด้วย ประกอบกับ การจัดวางผังอาคารเป็นรูปตัว L เพื่อให้ทุกตำแหน่งของห้องพักได้รับลมและแสงแดดจากธรรมชาติ และทุกๆ ห้องยังออกแบบให้มีเพดานที่สูงถึง 2.7 เมตร ช่วยเปิดรับแสง ทำให้มีความโปร่ง และช่วยให้อากาศในห้องไหลเวียนได้ดี ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ผู้ที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ อนามัยในช่วงนี้ได้ดีระดับหนึ่ง

พื้นที่สีเขียวด้านหน้าโครงการ และ Green Panel ช่วยให้กรองฝุ่นและมลภาวะต่างๆ

ศุภาลัย ยังคงเอกลักษณ์ของอาคารประหยัดพลังงานไว้ในทุกๆ โครงการ โดยการใช้หน้าต่างกรอบบาน UPVC ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก และใช้กระจกเขียวตัดแสง เพื่อช่วยลดความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร และทุกห้องพักในโครงการ และที่พิเศษยิ่งขึ้นกับดีไซน์ห้องที่รับกับวิถี New Normal ด้วยฟังก์ชันพิเศษ มุมอเนกประสงค์ “Favorite Corner” ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้สอยได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ไว้สำหรับ Work from Home หรือไว้สำหรับทำกิจกรรมโปรดได้หลากหลายสไตล์

มุมอเนกประสงค์ “Favorite Corner” ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ

นอกจากนี้ ศุภาลัยยังสร้างสรรค์ทุกโครงการคุณภาพตามมาตรฐานสากล ISO 9001 จึงมั่นใจในความคุ้มค่าคุ้มราคากับโครงการมากด้วยคุณภาพของการอยู่อาศัยอีกด้วย

ทั้งหมดคือ 3 จุดแข็ง ทั้งด้าน ทำเล ราคา และดีไซน์ ที่ทำให้ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ มีความโดดเด่นและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการซื้อหาคอนโดเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนในช่วงนี้เลยทีเดียว


 

มีอะไรใน ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์

สำหรับโครงการ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ เป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 2 ของศุภาลัยที่เปิดขายในปี 2563 และเป็นโครงการแรกที่เปิดขายหลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีเนื้อที่กว่า 3 ไร่ ประกอบด้วยอาคารสูง 33 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องพักอาศัย 563 ยูนิต และเป็นในส่วนของร้านค้าอีก 2 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนราชพฤกษ์ ใกล้ๆ จุดตัดระหว่างถนนราชพฤกษ์กับถนนเทอดไทฝั่งเข้าเมือง

โครงการแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช็อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานที่สำคัญ อาทิ เดอะมอลล์ ท่าพระ ซีคอน บางแค ไอคอนสยาม ตลาดเสนีย์ ตลาดพลู ตลาดเดินเล่น สาขาท่าพระ โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงพยาบาลพญาไท 3 โรงพยาบาลบางไผ่ และ โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น

นอกจากนี้ โครงการได้ออกแบบ เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยในแบบ New Normal ตั้งแต่เรื่องของพื้นที่เปิดโล่ง พื้นที่สีเขียว แต่ก็มีพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงการจัดว่าง Lay Out ต่างๆ เพื่อการเว้นระยะห่าง และลดการสัมผัส (Touchless) ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้เกิดความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็น Face Scan และประตูอัตโนมัติ เมื่อเข้าสู่โซนพักอาศัย โดยไม่ต้องสัมผัสคีย์การ์ด หรือสแกนนิ้ว

ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มช่องทางเข้าสู่อาคารได้หลากหลายจุด เพื่อลดความแออัดของการเข้าออกอาคารเพียงจุดเดียว แต่ก็ยังคำนึงถึงระบบความปลอดภัยด้วยการมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ระบบกล้อง CCTV และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมการจัดให้มี Delivery Drop Off จุดพักรับ-ส่งบริการ Delivery แยกเป็นสัดส่วนจากโซนพักอาศัย ตอบโจทย์การสั่งสินค้าออนไลน์ในช่วงที่ยังต้องระมัดระวังในเรื่องสุขภาพ

ที่สำคัญคือจัดพื้นที่ส่วนกลางแบบแยกส่วน เป็น 3 ส่วนกระจายตัวโดยรอบโครงการ เพื่อลดความแออัดในการใช้งานเพียงพื้นที่เดียว เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งานมากขึ้น โดยแยกเป็น 3 ชั้นหลัก ซึ่งในแต่ละชั้นก็มีพื้นที่ย่อยๆ แยกการใช้งานได้อย่างลงตัว

ส่วนแรกอยู่บริเวณชั้น 1 ส่วนนี้ถูกจัดให้เป็น Lobby, Community Area ซึ่งมีลักษณะแบบห้องประชุม เชื่อมโยงกับ Lobby และพื้นที่ต้อนรับด้านหน้า

ส่วนที่สองอยู่บริเวณชั้น 6 เป็น สระว่ายน้ำ Infinity Edge เป็นสระน้ำระบบเกลือ แยกสระผู้ใหญ่ และสระเด็ก มี Jacuzzi เพิ่มความผ่อนคลาย และในโซนนี้มีพื้นที่บริการ Fitness, Sauna, Game Room, Greenery และ Natural Green

ส่วนสุดท้ายอยู่บริเวณชั้น 33 เป็น Roof Garden, Relaxing Area, Relaxing Terrace, Sky Lounge

สำหรับห้องที่จะเปิดขายมีให้เลือกตั้งแต่ 29-103.5 ตารางเมตร แบ่งเป็น

  • ขนาด 1 ห้องนอน 29 ตารางเมตร 1 แบบ
  • ขนาด 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร 6 แบบ
  • ขนาด 1 ห้องนอนพลัส 44.5 ตารางเมตร 1 แบบ
  • ขนาด 2 ห้องนอน 52 ตางราเมตร 54.5 ตารางเมตร 56 ตารางเมตร และ 65 ตารางเมตร

โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ จะเปิด Pre-Sales อย่างเป็นทางการในวันที่ 11-12 กรกฏาคม 2563 ที่ Sales Gallery โครงการ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับส่วนลดได้ที่ https://www.supalai.com/reg/loft_sathornratchaphruk/ สอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com