นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา การเคหะแห่งชาติไม่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ออกมาเลย เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 การดำเนินงานต่างๆ จึงหยุดชะงัก ประกอบการ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซากำลังซื้อของประชาชนลดน้อยลง ขณะที่การเคหะฯหันไปให้น้ำหนักกับการดำเนินงานตามนโยบายรัฐทั้งโครงการเช่า โครงการบ้านประชารัฐ เป็นต้น โครงการที่เป็นการดำเนินงานตามภารกิจปกติของการเคหะฯจึงลดน้อยลง จึงเป็นที่มาของการเร่งสปีดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในปีงบประมาณ 2569
กคช. เผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการมุ่งเน้นไปที่งานนโยบาย (นโยบายรัฐบาล) มากเกินไป จนทำให้การนำเสนอโครงการปกติเพื่อสร้างรายได้ต้องหยุดชะงัก โดยนายทวีพงษ์ วิชันดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ระบุว่า หากไม่มีการผลักดันโครงการใหม่ กคช. จะเริ่มขาดทุนในปี 2571 และอาจขาดทุนติดต่อกันหลายปี

เร่งผลักดันโครงการ Housing for All 1.3 หมื่นหน่วย
การเคหะฯจึงต้องเร่งแผนพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างรายได้และแก้ไขปัญหาการขาดทุนที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยแผนการดำเนินงานตามงบประมาณปี 2569 การเคหะฯวางเป้าหมายในการโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย (Housing for All) จำนวน 13,000 หน่วย โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพม. ได้มีนโยบายให้เร่งขับเคลื่อนโครงการดีงกล่าวให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเปราะบาง เช่น พ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้มรายได้ปานกลาง (รายได้ปานกลาง) กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวโน้มที่จะเช่าหรือผ่อนมากกว่าการซื้อบ้าน
ในเบื้องต้นการเคหะฯจะเร่งผลักดันโครงการที่ได้เสนอให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณา 11 โครงการ ซึ่งผ่านการอนุมัติแล้ว 4 โครงการ กำลังจะนำเสนอคณะรับมนตรีเพื่อพิจารณา ประกอบด้วย โครงการอาคารเช่า ที่ สกลนคร ภูเก็ต(กะทู้) เลย และ นราธิวาส จำนวนรวม 596 ห้อง มูลค่าลงทุน 439 ล้านบาท ส่วนอีก 7 โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาของ 4 หน่วยงานดังกล่าว ได้แก่ อยุธยา บางปะอิน และโรจนะ ระยอง บุรีรัมย์ นครราชสีมา เชียงราย ปทุมธานี จำนวนรวมกว่า 1,000 กว่ายูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเคหะฯเตรียมเสนอให้คณะกรรมการการเคหะฯพิจารณาอีก 19 แปลง ซึ่งมีทั้งที่ดินที่เป็น Sunk Cost เดิม และที่ดินแปลงใหม่ และอีก 29 แปลง อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมแล้วจะมีโครงการที่การเคหะฯเริ่มดำเนินตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 รวม 48 โครงการ มูลค่ารวมอยู่ในหลักหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน การเคหะฯยังมีที่ดินที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงอีกหลายแปลงที่กำลังศึกษาว่าจะนำมาพัฒนาโครงการในรูปแบบใด เช่น ที่ดินบริเวณร่มเกล้า ที่ดินบริเวณ รังสิต คลอง 4 และ คลอง 5 ซึ่งอยู่ใกล้สวนสัตว์แห่งใหม่ และที่ดินที่หนองหอย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้จะเดินหน้าโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ (Aged Society) โดยในปี 2569 จะดำเนินการใน พื้นที่บางละมุง จังหวัดชลบุรีจำนวน 1,696 หน่วย และที่ร่มเกล้าอีก 1,000 หน่วย
บูรณาการสพฐ.รีโนเวทรร.ร้างเป็นบ้านพักครู
นอกจากนี้รมว. พม. ยังมีแนวคิดในการทำงานเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานของพม.กับหน่วยงานของกระทรวงอื่น และ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ การทำงานที่จะบูรณาการระดับกระทรวง เช่น การบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษา แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งมีปัญหาหลักๆ 2 เรื่อง คือ การมี โรงเรียนร้าง 600 แห่ง และบ้านพักครูที่มีคุณภาพต่ำและเก่ามากส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตครู การเคหะฯจะเข้าไปร่วมดำเนินการ โดยการนำโรงเรียนร้างที่อยู่ในทำเลดีๆ มีศัยกภาพมาปรับปรุงซ่อมแซมให้เป็นบ้านพักครู โดยจะมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างการเคหะฯและสพฐ. เพื่อเดินหน้าโครงการดังกล่าว
ส่วนความร่วมมือกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากพม.ไม่สามารถเป็นผู้ดำเนินการเองในทุกเรื่องได้ จากข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดย พม. มีบทบาทในการมีนักสังคมสงเคราะห์เพื่อเข้าไปช่วยเหลือ และมีสิทธิตามกฎหมายในการดูแลกลุ่มเปราะบางเท่านั้น ขณะที่หน่วยงานที่จะต้องเข้ารับผิดชอบในการขับเคลื่อนงานทั้งหมดคือท้องถิ่น รมว. พม. จึงมีนโยบายให้ พม.ไปทำข้อตกลงความร่วมมือ กับ องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล รวมถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัด

เพื่อร่วมกันดูแลและแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเตียง, คนพิการ และผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับท้องถิ่นควบคู่กันไป โดยพม.สามารถส่งนักสังคมสงเคราะห์ ผู้บริบาลท้องถิ่น และเงินงบประมาณไปช่วยเสริม ทำให้การทำงานของ พม.ให้คล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีการทำงานร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และอบจ.ปทุมธานี ในการหาพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้รุกล้ำริมคลองเปรมประชากรอีกประมาณ 600 หลัง
เดินหน้าโครงการฟื้นฟูแฟลตดินแดงระยะ 3-4
ผู้ว่าการเคหะฯ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง ได้เข้าสู่ระยะที่ 3 ของการพัฒนาแล้ว หลังจากระยะที่ 1 (แปลง G) ซึ่งเป็นอาคารแรกที่สร้างขึ้นมีการย้ายผู้พักอาศัยเดิม 333 ครอบครัวเข้าอยู่ ส่วนระยะที่ 2 แปลง D1 ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ และได้มีการย้ายผู้คนขึ้นไปอยู่แล้ว 635 ครอบครัว เพื่อที่จะทุบอาคารฝั่งที่ติดกับถนนวิภาวดีรังสิตทั้งหมด เพื่อเตรียมขึ้นโครงการ D2 ขณะที่แปลง A1 ซึ่งติดกับทางด่วน (ถนนพระราม 9) ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากมีการเปลี่ยนผู้รับเหมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างแปลง A1 ใหม่ และกำลังจะเริ่มก่อสร้างแปลง D2
ส่วนในระยะที่ 3 จะมีการก่อสร้างอาคารใหม่รวม 8 ตึก เป็นอาคารสำหรับผู้พักอาศัยเดิม 6 ตึก และเป็นอาคารสำหรับผู้พักอาศัยใหม่ 2 ตึก (รวม D2 เข้าไปด้วย) เตรียมที่จะขึ้นอาคาร C1 ที่อยู่ตรงกลาง โดยในส่วนของ 2 อาคารที่จะเปิดให้ผู้พักอาศัยใหม่เช่ามีการวางแผนไว้ว่าต้องเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP)

ขณะที่ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นพื้นที่ใหญ่สุดจะมีอาคารเพิ่มอีกกว่า 10 ตึก รองรับผู้พักอาศัยเดิมประมาณ 6,000 กว่าหน่วย และ ผู้พักอาศัยใหม่ถึง 13,000 หน่วย ทั้งหมดจะใช้รูปแบบ PPP ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับแผนอีกครั้ง เนื่องที่พื้นที่โดยรอบโครงการมีการพัฒนาโครงการอาคารชุดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจึงต้องปรับรูปแบบโครงการให้เหมาะสม รวมถึงการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการซึ่งอาจจะใช้แนวทางที่บริษัท ธนารักษ์พัฒนา ใช้พัฒนาศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะมาใช้ในการพัฒนาโครงการระยะที่ 4 โดยการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) เพื่อระดมเงินมาก่อสร้าง
การเคหะฯกับภารกิจในปี 2569 ทั้งงานที่เป็นภารกิจหลักและงานนโยบายจะบรรลุเป้าหมาย ได้มากน้อยแค่ไหนโปรดคอยติดตาม






