งาน Sustainability Expo 2025 ที่ปิดฉากไปไม่นาน คุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ได้ขึ้นเวทีมาแชร์มุมมองของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “The Future-Proof Paradigm: เส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ผ่านแนวคิดของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับเมกะโปรเจ็กต์มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท อย่างโครงการ One Bangkok และอีกหลายๆ โครงการในกลุ่มเฟรเซอร์ส ที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองสู่ความยั่งยืน
แนวคิดในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นการวางพื้นฐานและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลสิริวัฒนภักดี ตั้งแต่คุณเจริญ-คุณวรรณา ส่งต่อมาถึงรุ่นที่ 2 ที่มุ่งมั่นในการวางเป้าหมายของความยั่งยืน และเป็นพื้นฐานของความยั่งยืนที่อยู่บนความพอเพียง

พัฒนาอสังหาฯเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน
“พื้นฐานขององค์กร หรือแม้แต่แนวทางในการทำงานของผมเอง ก็เป็นแนวทางในการปฏิบัติของรุ่นที่ผ่านมา หรือถ้ามองในมุมของธุรกิจ Vision ของ คุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา มองว่า สิ่งที่เราจะทิ้งไว้และสร้างไว้ให้ จะสำเร็จได้ต้องเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับสังคม ซึ่งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในมุมมองของผมก็คือ การพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของคน เราจึงมีเป้าหมายของบริษัทว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างพื้นที่ที่ให้ประสบการณ์ที่ดียังคงอยู่
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้สร้างแล้วเสร็จ จริงๆ แล้ว สิ่งที่เห็นเป็นปูน เป็นเหล็ก เป็นการตกแต่งที่สวยงาม เป็นประมาณสัก 30% ของ Lifecycle ของเรียลเอสเตท เหมือนเพิ่งท้องแล้วคลอดออกมาจะเลี้ยงให้โตไม่ง่าย เพราะว่าอีก 70% เราถือว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องบริหารจัดการให้ดี เราจะใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์อะไร เราจะดูแลรักษาและอยู่กับช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลง ถ้าเราดูแลไม่ดีมันอาจจะเก่า อาจจะเสียหายก่อน หรือหมดประโยชน์หรือไร้คุณค่าได้ ถ้าเราดูแลให้ดีและเปลี่ยนแปลงไปได้ มันก็อาจจะอยู่ต่อไปข้างหน้าได้
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ส่วนที่เป็น Pillar สำคัญของความยั่งยืน เรามองไปสู่เรื่องของการคิดถึงคน และมองไปสู่เรื่องของการ Adapt เอาเทคโนโลยี่กับแนวคิดเรื่องนวัตกรรมเข้ามา ก็เป็น Pillar ที่ทำให้เราเห็นว่าเราจะตอบโจทย์การใช้ประโยชน์ของพื้นที่อย่างไร เราเปิดรับประสบการณ์ให้กับคนที่มาใช้ประโยชน์ และเราคิดถึงว่าแล้วเขามาทำประโยชน์ให้กับตัวเขาและสังคมได้ด้วยมั้ย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพยายาม คิด มอง และก็ปฏิบัติ” คุณปณตกล่าว

แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดให้เห็นผ่านการพัฒนา One Bangkok ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่คือพื้นที่ที่หลอมรวมชีวิตเมืองอย่างกลมกลืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเมืองที่เติบโตอย่างมั่นคงและมีคุณค่าร่วมกันในระยะยาว สอดคล้องกับเจตจำนงของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ในการ “สร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)
One Bangkok พัฒนาภายใต้แนวคิด “เมืองกลางใจ ใจกลางกรุงเทพฯ ที่ต้องการสร้างคุณค่าอันยั่งยืนให้กับผู้คนและชุมชนในวงกว้าง ผ่านแนวคิดการออกแบบซึ่งมุ่งเน้นผู้คนเป็นศูนย์กลาง ด้วยความตระหนักถึงบทบาทสำคัญของ ‘พื้นที่ที่สาม’ (Third Space) หรือพื้นที่นอกเหนือจากบ้านและสถานที่ทำงาน ตลอดเกือบๆ หนึ่งปีที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ One Bangkok ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์พัฒนาเมืองที่ยั่งยืน เราได้เห็น Third Space ที่ออกแบบพัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถันแห่งนี้มีส่วนส่งเสริมการเชื่อมโยงในชุมชนได้อย่างจริงจัง โครงการเพื่อชุมชนต่าง ๆ ของเราช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างชัดเจนและวัดผลได้ จุดมุ่งหมายของโครงการไม่ใช่เพียงการสร้างแลนด์มาร์ค แต่เป็นการส่งมอบระบบนิเวศซึ่งสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนและทุกชุมชนที่เกี่ยวข้อง

Collaboration เร่งผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน
แน่นอนว่า หนทางไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนไปได้ชั่วข้ามคืน แต่สิ่งที่คุณปณต ในฐานะผู้นำองค์กรด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มองว่าเป็นสิ่งสำคัญเรื่องแรกๆ ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น เพื่อนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงก็คือเรื่อง Collaboration เรื่องของการคิดร่วมกันให้มากขึ้น เรื่องของการอยู่ด้วยกันในสังคมที่เราต้องสร้างพลังร่วมกัน รวมถึงการที่เราจะนำพาสิ่งรอบๆ ตัวเราไปด้วยกันอย่างไร และที่มากกว่านั้นก็คืออยู่กับสิ่งแวดล้อม หัวใจสำคัญคือ ทำอย่างไรให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน คือได้อยู่กับพื้นที่สีเขียว อยู่กับการเชื่อมโยงของคนที่ใช้ประโยชน์
หนึ่งใน Collaboration ที่คุณปณตยกตัวอย่างคือ การได้ทำงานร่วมกันกับกทม.ในการพัฒนาการเชื่อมโยงพื้นที่สีเขียว การทำให้ฟุตบาทเป็นเส้นทางสัญจร และเชื่อมโยงของคน อย่างโครงการที่เราพัฒนาทั้งหมดเน้นถึงการเชื่อมโยงกับ Mass Transit เราเชื่อว่า สุดท้ายสิ่งที่ทำทั้งหมดนี้บวกกันแล้ว ถ้าสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี เศรษฐกิจก็จะยั่งยืน

“การทำงานที่กทม.ให้โอกาส ต้องบอกว่าเป็นมุมมองที่ปฏิรูป และหรือเป็น Paradigm ในการทำงานที่กทม.ให้โอกาสกับ Developer ให้เป็น Lead Initiator (ทำฟุตบาทหน้าโครงการ One Bangkok) เกิดเป็นความร่วมมือทั้งกับกทม.กับเขต ช่วยลดต้นทุนของภาครัฐ ลดภาษีของประชาชน ช่วยร่นระยะเวลาการทำงาน และเกิดการเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น เกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ ทั้งหมดคือการเป็น Partnership ในรูปแบบที่ปฏิรูปในการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งผลลัพธ์ และเวลาที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนที่แบกรับได้ โดยภาคเอกชนมีส่วนร่วม ซึ่งเราก็ทำหลายๆ เรื่องที่ทำงาน ร่วมกันกับภาคี วันนี้เราจะเห็นได้ว่า สวนลุมพินี สวนเบญจกิติ ก็เริ่มเป็น Activation ของ Private Sector มากขึ้น” คุณปณตยกตัวอย่าง
Sufficiency for Sustainability
ย้อนกลับไปในสิ่งที่คุณปณตพูดไว้ว่าแนวทางของกลุ่มเฟรเซอร์สคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนความพอเพียง คุณปณต อธิบายเอาไว้ว่า คำว่า ความพอเพียง (Sufficiency) อาจมีความเข้าใจว่า เป็นความพอเพียงในรูปแบบที่เราต้องไม่คิดจะเติบโตหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วเราตีความหมายจากที่เราได้เรียนรู้จากมูลนิธิชัยพัฒนา และเป็น Foundation ที่ทำให้งาน Sustainability Expo เกิดขึ้นภายใต้ธีม Sufficiency for Sustainability เรามอง Sufficiency คือ ความพอดี ความมีเหตุผล และสุดท้ายจะเกิดเป็นภูมิคุ้มกัน

แม้แต่องค์กรเราที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าจะในไทยในสิงคโปร์ เราจะเอาคำว่า Sustainability กับ Risk มาอยู่ด้วยกัน ความยั่งยืนคือการปิดความเสี่ยง ไม่ใช่ความยั่งยืนคือใช้จ่ายโดยไม่มีผลตอบแทน แนวคิดนี้เราต้องมา Re-thinking ด้วยกัน เราต้องมารวมพลังแล้วคิดถึงความยั่งยืนที่มีความพอดี มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี
ความยั่งยืนจึงต้องมี Business Model มารองรับ สามารถสร้างรายได้ที่จะมาหล่อเลี้ยงเพื่อให้ความยั่งยืนนั้นไปได้ตลอดกับกิจกรรมสร้างสรรค์ทั้งหลาย
ผมอาจจะยกตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งว่า เราเริ่มต้นจากการสร้าง Lead Platinum Building Certification เป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่เป็น Commercial Lease เราพัฒนาคอนโดมิเนียมที่เป็น Well Standard หนึ่งเดียวในประเทศไทย และเป็น 1 ใน 400 กว่าตึกเท่านั้นในโลก หรือแม้แต่ Office Building ของเราที่แล้วเสร็จใน One Bangkok ใน The Parq ก็เป็น Well Standard (ที่ต้องลงทุนมากขึ้นกว่าโครงการทั่วๆ ไป)

การลงทุนที่มากขึ้นไม่ได้หมายความว่า จะต้องได้เงินมากขึ้นทั้งหมด เพราะ Business Model ก็มีในแบบที่ลงทุนมากขึ้นแล้วเรา Built Better Stickiness เราทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราตอบโจทย์เขา และทำให้เรารู้สึกว่าเราแข่งขันได้ Competitive Advantage ไม่ได้หมายถึงลงทุนเยอะแล้วได้ผลตอบแทนมากขึ้น แต่หมายถึงลงทุนเยอะแล้วได้ความยั่งยืนที่มากขึ้น
“การคิดและการเริ่มต้นของเราคือ ไม่ใช่บอกว่าลงทุนมากขึ้นแล้วต้องได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น เพราะว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนขึ้น ก็เอากลับมาคิดเป็นผลตอบแทนได้เหมือนกัน” คุณปณตสรุป
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กับบทบาทการพัฒนาเมือง
มาถึงแนวคิดในการพัฒนาเมืองของกลุ่มเฟรเซอร์ส ซึ่งทราบกันดีว่า มีโครงการขนาดบิ๊กโปรเจ็กต์ในมือมากมายโดยเฉพาะในย่านพระราม 4 ที่กลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองไปแล้ว ณ เวลานี้ ซีอีโอ กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด มองว่า การพัฒนาของกลุ่มเฟรเซอร์สมีจุดเริ่มต้นที่คุณเจริญให้ความสำคัญอยากจะเห็นกรุงเทพฯพัฒนาไปข้างหน้า การที่จะมองการพัฒนาบนถนนพระราม 4 ต้องมองย้อนกลับไป 20 ปีที่ผมเริ่มเข้ามาในรับผิดชอบในการบริหารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ตั้งแต่ก่อนจะปรับปรุง ทำให้เราเริ่มติดตามว่าเมืองจะพัฒนาอย่างไร โดยเราได้ข้อพิสูจน์แล้วว่า MassTransit ของรถไฟ BTS ได้ช่วยพัฒนาเมืองในรูปแบบหนึ่ง ขณะที่รัฐเริ่มจะลงทุนโครงข่ายของรถไฟใต้ดินในปี 2010 เป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่วนครบรอบกรุงเทพฯที่เรียกว่า Circle Line ซึ่งเป็นสายที่สำคัญมาก
“ก็ได้นำเสนอแนวคิดว่าการปรับเปลี่ยนของเมือง อย่างเดียวที่เอกชนจะลงทุนแล้วคุ้มค่าได้จะต้องลงทุนไปกับสิ่งที่รัฐลงทุน ช่วยทำให้แผนการลงทุนของรัฐ ของประเทศ ของเมืองตอบโจทย์ เอกชนตอบโจทย์ และก็สามารถ Generate ภาษีคืนให้กับเมืองได้ ผมก็เลยได้รับผิดชอบว่าเราจะพัฒนาเมืองอย่างไร เราจะอยู่และเติบโตไปกับเศรษฐกิจของเมืองอย่างไร และมากกว่านั้นคือ จากที่ตัวผมเองได้มีโอกาสไปเรียนรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ ในการพัฒนาของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ใน 20 ประเทศ ที่มีฐานหลักๆ อยู่ในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย ยุโรป แม้แต่จีนเอง ต้องบอกว่าเขาไปไกลแล้ว เขาคิดเขาวางแผนเขามองแล้วว่าเขาจะแก้ปัญหาเมืองอย่างไร

อย่างในสิงคโปร์เขาเคยวางแผนเอาไว้เมื่อ 50 ปีก่อน ผ่านไปแล้ว 30 ปี เขาบอกว่าเมืองเติบโตเร็วกว่าแผน 50 ปีที่แล้ว เขาเพิ่งประกาศแผนอีกฉบับเพื่อต่อยอดจากแผนเก่าแล้วก็ล้างแผนเก่าบางส่วน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็ Launch แผนใหม่เมื่อปี 2016 ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เห็นว่า การเติบโตที่เร็วมากจนทำให้แผนที่วางไว้เปลี่ยนแปลง ก็ต้องปรับแผนใหม่ขึ้นมารองรับ อย่างรถไฟใต้ดินในสิงคโปร์ เดิมวางแผนไว้ในความความจุที่เพียงพอไม่เคยคิดว่าประชากรเติบโตขนาดนี้ เศรษฐกิจเติบโตขนาดนี้ นักท่องเที่ยวเติบโตขนาดนี้ บางอย่างขยายไม่ได้เลยต้องวางแกนใหม่ วางเส้นใหม่
รูปแบบของการพัฒนาของสิงคโปร์วันนี้มองว่าเมืองสูงขึ้นไม่ใช่ว่าจะดี เขาเลยเริ่มพิสูจน์ว่าแล้วเมืองใต้ดินวางแผนอย่างไร แผนในอีก 30 ปีข้างหน้าคือมองเรื่องของ Underground City แล้วเขาก็บินไปเรียนรู้ญี่ปุ่นเพราะอยู่ในเกาะ บินไปเรียนรู้ที่อัมเสตเตอร์ดัมว่าจะ Protect Flooding อย่างไร เพราะเป็นเมืองที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แล้วเขาเอาเอกชนเดินทางกับเขาด้วย เพื่อบอกว่าแล้วคุณจะพัฒนาอย่างไร แล้วประเทศจะวางแผนอย่างไร
เราก็เอา Talent กลับมาด้วย เราก็มองด้วยว่าเราจะคุยกับภาครัฐอย่างไร ภาคเมืองอย่างไร ก็เป็นแนวทางที่ทำให้การพัฒนาในรูปแบบต่างๆ นี้เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นความหนาแน่นแบบใหม่ที่กรุงเทพฯไม่เคยเห็น เป็นการพัฒนารูปแบบใหม่ที่เราเกือบจะเรียกว่าทุกๆ Track Record เรา Beat สถาปัตยกรรมและการใช้ประโยชน์ในทุกรูปแบบพอสมควร
แนวคิดในการพัฒนาของกลุ่มเฟรเซอร์สเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของพาร์ทเนอร์ ตั้งแต่ผู้ออกแบบ ผู้ก่อสร้าง จนมาถึงผู้ใช้ ทั้งหมดเรามองว่าเป็น Ecosystem ใหม่ที่ทั้งเฟรเซอร์ส และ One Bangkok ได้พิสูจน์แล้วว่าเราพัฒนาโครงการระดับโลกได้ เราพัฒนาคุณภาพที่ไม่แพ้มหานครไหนในโลก โครงการต่างๆ ที่ได้พัฒนาไว้ลงทุนเอาไว้จะช่วยผลักดันและเป็นแรงตอกย้ำว่ากรุงเทพฯนอกจากเป็นเมืองที่น่าอยู่แล้ว ยังเป็นเมืองที่จะเติบโตทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เราจะยังขอความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทุกๆ คน มาช่วยกันสร้างสิ่งดีๆ สร้างสิ่งที่เราเชื่อว่าจะตอบโจทย์ให้กับการพัฒนากรุงเทพฯให้ไม่แพ้เมืองใดในโลก






